![]()
ถ้าใครเลี้ยงอยู่ ลองเข้าไปดูนะครับ มีประโยชน์ดี
|
เลี้ยงกล้วยไม้แบบนายบอย ทองหล่อ
วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2559
45.อยากทำให้กล้วยไม้ออกดอกสมบูรณ์และออกมากว่า 1 ช่อนี้
คนเลี้ยงกล้วยไม้หลายๆท่าน มีคำถามในใจว่า อยากทำให้กล้วยไม้ออกดอกสมบูรณ์และออกมากว่า 1 ช่อนี้ จะทำยังไงได้บ้าง
.
ขอพูดแบบองค์รวมนะครับ ส่วนรายละเอียดนั้นอยากให้ลองศึกษากันเอง และต้องเข้าใจเทคนิคแต่ละอย่างให้ท่องแท้ก่อนลงมือจะทำนะครับผม
.
หลายๆท่านเลือกที่จะหาอะไรต่อมิอะไรให้กล้วยไม้ได้กิน ต้องนั่งอ่านฉลากปุ๋ย ธาตุอาหารกล้วยไม้ ธาตุหลักธาตุลองจนไปถึงแร่เสริมสารชีวะภาพ จนตาพล่ากันไปก็มี
.
และหลายๆท่านก็พยายามทดลองเทคนิตต่างๆเพื่อให้ได้ตามความต้องการ
.
ที่นี้มันขึ้นอยู่กับเทคนิคของแต่ละท่านละครับ ว่าจะทำยังไงกันดี ทำอย่างไรกันบ้าง ผสมผสานกับเทคนิคอะไรเข้าไปบ้าง และแต่ละท่านได้คำตอบอย่างไรบ้าง
.
บ้างก็เอาเข้าโรงเรือนแบบอีแว๊ปปรับสภาพอากาศเป็นหน้าออกดอกของกล้วยไม้นั้นๆ
บ้างก็บำรุงด้วยปุ๋ยด้วยยาหรือแร่ธาตุและสมุนไพรที่พอจะเอามาช่วยได้
บ้างก็ว่าระบบน้ำหยดเพื่อขยายรากให้รากเจริญมากกว่าปรกติเพื่อสำหรับการใช้ปุ๋ย
บ้างก็ถังน้ำผสมปุ๋ยและแร่ธาตุไว้สำหรับเพื่อแช่กล้วยไม้ทั้งต้นเลยแบบจับเวลา
บ้างก็ใช้ปุ๋ยโดสอ่อนๆแต่ใช้บ่อยโดยใช้เกือบทุกๆวัน
บ้างใช้เครื่องพ่นหมอกจากน้ำที่ผสมปุ๋ยหรือแร่ธาตุเพื่อให้กล้วยไม้ได้รับความชุ่มชื้นอันยาวนานและได้รับปุ๋ยอย่างช้าๆ
.
เป็นต้น
.
ลองศึกษาและทำความเข้าใจดูครับว่าเราเหมาะกับทำเทคนิคแบบไหน อันไหนประหยัดทุนอันไหนยุ่งยาก อันไหนใช้ทุนสูง ก็เลือกเอาตามความเหมาะสมและการทดลองครับ
.
หลักๆคือต้องบำรุงรากให้แข็งแรงครับรากแข็งแรงรากมีมาก โอกาสที่ต้นไม้จะสมบรูณพื้นตัวเร็วก็มีมากส่งอาหารได้มากก้านช่อดอกก็จะแข็งแรงมาก ถ้าแข็งแรงมากๆก็จะส่งก้านดอกออกมามากกว่า 1 ช่อ
ฉะนั้น อยากใ้ห้กล้วยไม้ออกดอกมากๆออกหลายๆช่อ นอกจากเรื่องปุ๋ยยาอาหารเสริมธาตุเสริมแล้วต้องให้กล้วยไม้มีรากที่แข็งแรงสะก่อนครับ
ปล.ถ้านึกอะไรออกเดี๋ยวจะมาบอกครับ
.
ขอพูดแบบองค์รวมนะครับ ส่วนรายละเอียดนั้นอยากให้ลองศึกษากันเอง และต้องเข้าใจเทคนิคแต่ละอย่างให้ท่องแท้ก่อนลงมือจะทำนะครับผม
.
หลายๆท่านเลือกที่จะหาอะไรต่อมิอะไรให้กล้วยไม้ได้กิน ต้องนั่งอ่านฉลากปุ๋ย ธาตุอาหารกล้วยไม้ ธาตุหลักธาตุลองจนไปถึงแร่เสริมสารชีวะภาพ จนตาพล่ากันไปก็มี
.
และหลายๆท่านก็พยายามทดลองเทคนิตต่างๆเพื่อให้ได้ตามความต้องการ
.
ที่นี้มันขึ้นอยู่กับเทคนิคของแต่ละท่านละครับ ว่าจะทำยังไงกันดี ทำอย่างไรกันบ้าง ผสมผสานกับเทคนิคอะไรเข้าไปบ้าง และแต่ละท่านได้คำตอบอย่างไรบ้าง
.
บ้างก็เอาเข้าโรงเรือนแบบอีแว๊ปปรับสภาพอากาศเป็นหน้าออกดอกของกล้วยไม้นั้นๆ
บ้างก็บำรุงด้วยปุ๋ยด้วยยาหรือแร่ธาตุและสมุนไพรที่พอจะเอามาช่วยได้
บ้างก็ว่าระบบน้ำหยดเพื่อขยายรากให้รากเจริญมากกว่าปรกติเพื่อสำหรับการใช้ปุ๋ย
บ้างก็ถังน้ำผสมปุ๋ยและแร่ธาตุไว้สำหรับเพื่อแช่กล้วยไม้ทั้งต้นเลยแบบจับเวลา
บ้างก็ใช้ปุ๋ยโดสอ่อนๆแต่ใช้บ่อยโดยใช้เกือบทุกๆวัน
บ้างใช้เครื่องพ่นหมอกจากน้ำที่ผสมปุ๋ยหรือแร่ธาตุเพื่อให้กล้วยไม้ได้รับความชุ่มชื้นอันยาวนานและได้รับปุ๋ยอย่างช้าๆ
.
เป็นต้น
.
ลองศึกษาและทำความเข้าใจดูครับว่าเราเหมาะกับทำเทคนิคแบบไหน อันไหนประหยัดทุนอันไหนยุ่งยาก อันไหนใช้ทุนสูง ก็เลือกเอาตามความเหมาะสมและการทดลองครับ
.
หลักๆคือต้องบำรุงรากให้แข็งแรงครับรากแข็งแรงรากมีมาก โอกาสที่ต้นไม้จะสมบรูณพื้นตัวเร็วก็มีมากส่งอาหารได้มากก้านช่อดอกก็จะแข็งแรงมาก ถ้าแข็งแรงมากๆก็จะส่งก้านดอกออกมามากกว่า 1 ช่อ
ฉะนั้น อยากใ้ห้กล้วยไม้ออกดอกมากๆออกหลายๆช่อ นอกจากเรื่องปุ๋ยยาอาหารเสริมธาตุเสริมแล้วต้องให้กล้วยไม้มีรากที่แข็งแรงสะก่อนครับ
ปล.ถ้านึกอะไรออกเดี๋ยวจะมาบอกครับ
44.การเข้าใจผิดเรื่องเคมีหลายๆอย่างไม่อันตรายโดยเฉพาะปุ๋ยไม่อันตรายต่อมนุษย์และสัตว์
สบู่ ยาสีฟัน ยาสระผม ครีมทาผิว เครื่องสำอาง น้ำตาล น้ำส้ม เกลือ สิ่งเหล่านี้คือสารเคมีในชีวิตประจำวันที่เราใช้แล้วไม่เป็นอันตราย
ปุ๋ยกล้วยไม้ก็เช่นกัน และสารกำจัดแมลงบางชนิดก็เช่นเดียวกันไม่อันตราย
บางคนกลัวเคมีตกค้างอันตราย มันอันตรายเฉพาะบางอย่างครับ พวกสารอันตรายจะมีเครื่องหมาย หัวกระโหลกเสมอๆ
.
ส่วนพวกที่ไม่อันตรายจะไม่ไม่ แต่ถ้ากังวนก็อ่านฉลากแล้ว ลงค้นหาจากในเนตดูครับ
ว่าปุ๋ยเคมีหรือสารอะไรก็ตามที่เอามาใช้กับต้นไม้แล้ว อันไหนปลอดภัย อันไหนอันตราย ก็เลือกใช้ไปตามนั้น
.
ส่วนเครื่องมือป้องกันสารอันตรายกรณีต้องใช้จริงๆ ก็ควรหามาใช้ครับ หน้ากากกรองฝุ่น หรือกันทั้งหน้าเลยก็ดี หมวก ถุงมือ หรือเสื้อร่มไว้คลุมทั้งตัวป้องกันสารเคมีโดนตัว ใช้แล้วล้างให้สะอาด ล้างหัวก๊อกน้ำด้วยจะดีมากๆ
.
ที่ต้องกังวนหรือข้อควรระวังพวกสารเคมีที่ตกค้างนานตะหากละครับ
พวกนี้อันตรายแน่นอน แต่อ่านฉลากเลือกสารตัวอื่นที่ได้ผลเหมือนกันแต่ไม่ตกค้างในพื้นที่นานก็จะปลอดภัย
.
ผมเข้าใจครับ ว่าคนที่ไม่เคยเลี้ยงต้นไม้ พอได้ยินคำว่าเคมี นึกไปถึงสารพิษยาฆ่าแมลงที่ตกค้างนาน แต่จริงๆมันไม่ใช่ครับ
ปุ๋ยเคมีก็ไม่ใช่สารพิษ เหมือนเคมีทั่วๆไปที่เราใช้เราสัมผัสในชีวิตประจำวันครับ จึงไม่ต้องวิตก ตกอกตกใจกันไป
ปุ๋ยกล้วยไม้ก็เช่นกัน และสารกำจัดแมลงบางชนิดก็เช่นเดียวกันไม่อันตราย
บางคนกลัวเคมีตกค้างอันตราย มันอันตรายเฉพาะบางอย่างครับ พวกสารอันตรายจะมีเครื่องหมาย หัวกระโหลกเสมอๆ
.
ส่วนพวกที่ไม่อันตรายจะไม่ไม่ แต่ถ้ากังวนก็อ่านฉลากแล้ว ลงค้นหาจากในเนตดูครับ
ว่าปุ๋ยเคมีหรือสารอะไรก็ตามที่เอามาใช้กับต้นไม้แล้ว อันไหนปลอดภัย อันไหนอันตราย ก็เลือกใช้ไปตามนั้น
.
ส่วนเครื่องมือป้องกันสารอันตรายกรณีต้องใช้จริงๆ ก็ควรหามาใช้ครับ หน้ากากกรองฝุ่น หรือกันทั้งหน้าเลยก็ดี หมวก ถุงมือ หรือเสื้อร่มไว้คลุมทั้งตัวป้องกันสารเคมีโดนตัว ใช้แล้วล้างให้สะอาด ล้างหัวก๊อกน้ำด้วยจะดีมากๆ
.
ที่ต้องกังวนหรือข้อควรระวังพวกสารเคมีที่ตกค้างนานตะหากละครับ
พวกนี้อันตรายแน่นอน แต่อ่านฉลากเลือกสารตัวอื่นที่ได้ผลเหมือนกันแต่ไม่ตกค้างในพื้นที่นานก็จะปลอดภัย
.
ผมเข้าใจครับ ว่าคนที่ไม่เคยเลี้ยงต้นไม้ พอได้ยินคำว่าเคมี นึกไปถึงสารพิษยาฆ่าแมลงที่ตกค้างนาน แต่จริงๆมันไม่ใช่ครับ
ปุ๋ยเคมีก็ไม่ใช่สารพิษ เหมือนเคมีทั่วๆไปที่เราใช้เราสัมผัสในชีวิตประจำวันครับ จึงไม่ต้องวิตก ตกอกตกใจกันไป
21.กล้วยไม้ฟาแลนน๊อตชีปในระบบโรงเรือนปิด(อีแว๊ป)เราสามารถปรับให้ค้าอยู่ในโรงเรือนธรรมดาได้
ขอเกิ่นเรื่องของการอีแว๊ปก่อนส่วนวิธีการปรับอยู่ล่างๆครับ
โรงเรือนปิดบางที่เลือกช้แสงเทียมจะหลอดไฟ ซึ่งเดี๋ยวนี้มีหลอดสำหรับเลี้ยงตู้ไม้น้ำ เราเอามาเลี้ยงกล้วยไม้ได้เช่นกัน
.
จุดประสงค์ของการใช้แสงเทียมเพื่อให้ กล้วยไม้ได้รับแสงที่เพียงพอในแต่ละวันนั้นเองครับ ลดปัญหา แสงไม่สม่ำเสมอไปเลย เพราะให้ค่าแสงที่คงที่ตลอดช่วงเวลาที่เราอยากให้เค้าได้รับ
.
สำหรับบางคนที่อยากได้ต้นฟอร์มสวยๆ ไร้แมลงรบกวน และอยากให้สมบูรณ์ฟอร์มดี เทคนิคนี้จึงมีผู้หันมาใช้กันเป็นลำดับ(คือญีปุ่นมาทำที่เชียงใหม่นะ ช่วงหน้าหนาวแดดน้อยเค้าแก้ปัญหาแบบนี้) หลายๆท่านไปเห็นเลยได้มาเล่าสู่กันฟัง ผมฟังเฉยๆเพราะไม่เคยไปเห็น
.
แถมบางคนใช้เครื่องตั้งเวลาเปิดหลอดไฟตั้งเวลารดน้ำด้วยอีกตะหาก ซึ่งทำให้ผลลัพที่ได้ดีมากๆ บางรายใช้เครื่องพ่นหมอกตั้งเวลาเป็นระยะ ให้พ่นหมอกหลายช่วงเวลาที่กำหนด เพื่อให้มันสมบูรณ์แบบมากขึ้นเหมือนมีความชื้นที่ช่วงเวลาที่เหมาะสม
.
บางคนอาจจะดูว่าไม่จำเป็น แต่บางคนก็มองเห็นประโยชน์ อันนี้แล้วแต่มุมมอง
.
บางคนสงสัยว่าแล้วแบบนี้เราจะใช้กับกล้วยไม้ได้ทุกชนิดไหม ก็เท่าที่ผมรู้เกือบๆทุกๆสายพันธุ์ ขึ้นอยู่กับการออกแบบอีแว๊ปว่าจะทำให้ปรับอุณหภูมิได้หรือไม่ ร้อนหนาวเราหาเครื่องมาทำได้แน่นอนแต่ จะคุ้มหรือไม่ก็ว่ากันไป อยากให้ ร้อนเป็นหน้าแร้งแดดแรงๆก็ทำได้ แม้ข้างนอกจะหนาวมากก็เถอะ หรือจะให้เย็นฉ่ำแต่นอกอีแว๊ปร้อนตับแล๊ปก็ทำได้
.
บางคนสงสัยว่าแล้วดูไม่คุ้มนะ ต้องบอกว่า เดี๋ยวนี้มันไม่จำเป็นต้องทำใหญ่โตครับ แถมมีคนนำเข้าตู้เพาะต้นไม้ในร่มมาขายแล้วครับ มีหลายขนาดด้วยไม่ต้องใช้พื้นที่มากมาย แต่ผมถามเค้าเงียบ เลยเออ งั้นก็ไม่ถาม มาหลังจากที่มีข่าวปลูกกันชาในห้องนั้นแหละครับที่ใช้หลอด led ปลูกกันชาในห้อง
.
ถ้าซื้อแต่หลอดไฟ พัดลมเป่า เอาเครื่องเครื่องพ่นหมอกมาทำเองเลี้ยงเองในห้องในบ้านก็ได้ครับ สำหรับอยากไว้ชมในบ้านโดยสั่งตัดตู้สักใบให้มีช่องระบายอากาศด้านข้างหรือด้านหลังติดพัดลมดูดอากาศด้านหลังสักตัวเพื่อให้อากาศไหลเวียนก็น่าจะดีแล้วละครับผม
.
(ผมก็เคยคิดจะทำนะ แต่กลัวเปลืองค่าไฟเลยไม่เอาดีกว่า ) ใครอยากทำสำเร็จรูปพร้อมขายก็ดีนะ มาเป็นตู้เลย555 ขายพร้อมตู้และของตบแต่ง
.
โรงเรือนปิดบางที่เลือกช้แสงเทียมจะหลอดไฟ ซึ่งเดี๋ยวนี้มีหลอดสำหรับเลี้ยงตู้ไม้น้ำ เราเอามาเลี้ยงกล้วยไม้ได้เช่นกัน
.
จุดประสงค์ของการใช้แสงเทียมเพื่อให้ กล้วยไม้ได้รับแสงที่เพียงพอในแต่ละวันนั้นเองครับ ลดปัญหา แสงไม่สม่ำเสมอไปเลย เพราะให้ค่าแสงที่คงที่ตลอดช่วงเวลาที่เราอยากให้เค้าได้รับ
.
สำหรับบางคนที่อยากได้ต้นฟอร์มสวยๆ ไร้แมลงรบกวน และอยากให้สมบูรณ์ฟอร์มดี เทคนิคนี้จึงมีผู้หันมาใช้กันเป็นลำดับ(คือญีปุ่นมาทำที่เชียงใหม่นะ ช่วงหน้าหนาวแดดน้อยเค้าแก้ปัญหาแบบนี้) หลายๆท่านไปเห็นเลยได้มาเล่าสู่กันฟัง ผมฟังเฉยๆเพราะไม่เคยไปเห็น
.
แถมบางคนใช้เครื่องตั้งเวลาเปิดหลอดไฟตั้งเวลารดน้ำด้วยอีกตะหาก ซึ่งทำให้ผลลัพที่ได้ดีมากๆ บางรายใช้เครื่องพ่นหมอกตั้งเวลาเป็นระยะ ให้พ่นหมอกหลายช่วงเวลาที่กำหนด เพื่อให้มันสมบูรณ์แบบมากขึ้นเหมือนมีความชื้นที่ช่วงเวลาที่เหมาะสม
.
บางคนอาจจะดูว่าไม่จำเป็น แต่บางคนก็มองเห็นประโยชน์ อันนี้แล้วแต่มุมมอง
.
บางคนสงสัยว่าแล้วแบบนี้เราจะใช้กับกล้วยไม้ได้ทุกชนิดไหม ก็เท่าที่ผมรู้เกือบๆทุกๆสายพันธุ์ ขึ้นอยู่กับการออกแบบอีแว๊ปว่าจะทำให้ปรับอุณหภูมิได้หรือไม่ ร้อนหนาวเราหาเครื่องมาทำได้แน่นอนแต่ จะคุ้มหรือไม่ก็ว่ากันไป อยากให้ ร้อนเป็นหน้าแร้งแดดแรงๆก็ทำได้ แม้ข้างนอกจะหนาวมากก็เถอะ หรือจะให้เย็นฉ่ำแต่นอกอีแว๊ปร้อนตับแล๊ปก็ทำได้
.
บางคนสงสัยว่าแล้วดูไม่คุ้มนะ ต้องบอกว่า เดี๋ยวนี้มันไม่จำเป็นต้องทำใหญ่โตครับ แถมมีคนนำเข้าตู้เพาะต้นไม้ในร่มมาขายแล้วครับ มีหลายขนาดด้วยไม่ต้องใช้พื้นที่มากมาย แต่ผมถามเค้าเงียบ เลยเออ งั้นก็ไม่ถาม มาหลังจากที่มีข่าวปลูกกันชาในห้องนั้นแหละครับที่ใช้หลอด led ปลูกกันชาในห้อง
.
ถ้าซื้อแต่หลอดไฟ พัดลมเป่า เอาเครื่องเครื่องพ่นหมอกมาทำเองเลี้ยงเองในห้องในบ้านก็ได้ครับ สำหรับอยากไว้ชมในบ้านโดยสั่งตัดตู้สักใบให้มีช่องระบายอากาศด้านข้างหรือด้านหลังติดพัดลมดูดอากาศด้านหลังสักตัวเพื่อให้อากาศไหลเวียนก็น่าจะดีแล้วละครับผม
.
(ผมก็เคยคิดจะทำนะ แต่กลัวเปลืองค่าไฟเลยไม่เอาดีกว่า ) ใครอยากทำสำเร็จรูปพร้อมขายก็ดีนะ มาเป็นตู้เลย555 ขายพร้อมตู้และของตบแต่ง
.
ที่เอ่ยถึง ฟาแลน เพราะการเพาะขยายหรือการเลี้ยงดู มักจะอยู่ในสภาพอากาศที่ปิด และมักอยู่ในภาพที่ค่อนข้างเย็นถึงเย็นมาก
. ทีนี้มาพูดถึงว่าทำไมเราต้องเอาออกมาภายนอ . คือมันเป็นแบบนี้นะครับ หลักจากที่ดอกหมดและกำลังจะต่อก้าน(ขึ้นดอ . ถ้าอยากเห็นเค้าออกดอกอีกให้เอาออกมาภายนอ . แต่ก็ไม่เสมอไป คือเอาออกมาอยู่ในโรงเรือนพลางแสง 80 % หรือ 85 % ครับ พลางแสงอย่าน้อยกว่านี้ใบอาจจะใหม้เอาได้ สภาพโรงเรือนก็เหมือนๆทั่วๆไปคือด้านล่างต . ที่ต้องทำแบบนี้เพื่ออะไรหรือครับ เพื่อทีจะให้ออกก้านดอกใหม่ให้ต้นเจริญเติ . ถ้าไม่ทำแบบนี้ได้ไหมได้ครับ ถ้าเลี้ยงในห้องที่แถวๆบริเวณหน้าต่างมีแส . ฉะนั้นจึงควรย้ายช่วงเย็นๆถึงค่ำๆเพราะต้อ . และยากันเชื้อรา เราควรใช้ด้วยครับ เพราะฟาแลนรากชอบความชื้นมากกว่าหวายนิด1 แต่อากาศต้องระบายได้ดีพอสมควร กระถางฟาแลนจึงต่างกว่ากระถางกล้วยไม้ขนิด . อยู่ในฟาร์มเค้าใช้ยากันเชื้อราอยู่แล้วคร . |
มีคนเคยสงสัยเป็นข้อๆครับเลยมาขอต่อในบทความนี้ครับ ว่า
1 ไม้ที่โตมาจากสภาพอากาศเปิดจะเอาเข้าอีแว๊ 2 ถ้าเข้าอีแว๊ปแล้วไม้ไม่ทนต่อสภาพออกการเป 3 ถ้าเข้าอีแว๊ปแล้วสวยขึ้นเฉพาะที่อยู่ในโร 4ไม้ที่โตมากับโรงเรือนปิดแบบอีแว๊ป(ปรับสภาพอุณหภูมิ จะทนต่อสภาพอากาศเปิด(โรงเรือนเปิด)ได้หรื . เอาเป็นว่าประเด็นหลักๆเป็นแบบนี้นะขอรับ. . ตอบข้อ 1 เพื่อทำฟอร์มส่งประกวด ต้น ดอก ใบ หรือเพื่อออกดอกนอกฤดูกาล. . ตอบข้อ 2 กล้วยไม้จะทนทานเหมือนเช่นสมัยก่อนที่ จะเข้าอีแว๊ป แต่ฟอร์ม การออกดอกครั้งต่อไปจะไม่ดกหรือขึ้นหลายช่ . ตอบข้อ 3 ถ้าเอามาปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศเปิดแบ . ตอบข้อ 4 คล้ายๆข้อ3 บางฟาร์มจะบอกเลยว่าเป็นไม้จากอีแว๊ป เพราะจะให้เข้าใจกันว่า เอาไปแล้วสภาพมันจะไม่สมบูรณ์เหมือนตอนที่ . แต่ๆ หลาย ฟาร์มก็มักง่าย อยากขายจนไม่ได้บอกคนเลี้ยง ไม่ปรับสภาพก่อนส่ง ออกจากฟาร์มรีบถ่ายรูป แล้วมีคนสั่งแพ๊คเลยไม่มีการเอามาพักภายนอ . คนเลี้ยงเห็นรูปต้นสมบูรณ์ใบอวบ ดอกใหญ่หรือดอก ก้านช่อยาว รีบซื้อเพราะกลัวหมดกลัวไม่ได้ แต่พอเอามา กลับใบค่อยๆบางลงๆ ปุ๋ยก็ใส่ ยาก็ให้ แต่ก็ยังจะเกิดโรคได้ง่ายๆ บางต้นตายแบบไม่มีปีไม่มีขลุ่ย เพราะอะไรหรือ เพราะมันทนไม่ไหวกับสภาพอากาศเปิดที่ไม่ได . ถ้ากล้วยไม้มาไม่เป็นไร แต่พอเลี้ยงไปสักพักก็อย่างที่บอกครับ สภาพมันจะโทรมไวมากๆ แถมอ่อนแอต่อสภาพอากาศเปิดมากๆ ร้อนหน่อยรีบเหี่ยวดอกร่วงไว บางทีมีใบใหม้ให้ดูอีกหรือใบบางกรอบ(แห้งเ . การปรับสภาพฟาแลนจากไม้อีแว๊ปมาสู่โรงเรือนธรรมดา ก็ไม่ได้ยุ่งยาก ควรย้ายตอนกลางคืนอุณภูมิจะได้จากเย็นเป็นร้อนใจากกลางคืนเป็นกลางวัน แต่ควรให้อยู่ในที่ร่มมีแสงไม่ควรโดนแดดเลยแม้แต่นิดเดียว . น้ำก็ไม่ควรให้ขาดควรรดให้ชุ่มในตอนเช้า และไม่ควรให้โดนลมแรง เพียงแค่ 2 วันเค้าก็พร้อมออกเลี้ยงในโรงเรือนปรกติที่มีการพลางแสงให้พอดีกับเค้าเค้าก็สามารถอยู่ได้ออกดอกได้ ใบอาจเหี่ยวย่นบ้างนิดหน่อยถ้าเค้าปรับสภาพได้นานไปอาการเหี่ยวย่นจะหายไปเอง |
43. เรื่องของกลิ่นปุ๋ยหมักปุ๋ยชีวะภาพ
ส่วนจดหมายน้อยอีกฉบับถามมาว่า เรื่องของกลิ่นปุ๋ย ทำไมปุ๋ยชีวะภาพจึงมีกลิ่นที่ไม่ค่อยน่าใช้ หรือมีกลิ่นเหมือนน้ำตาลปูดหรือน้ำหมักชีวะภาพ หรือมีกลิ่นเหม็นเหมือนมูลสัตว์ เหม็นเหมือนขยะเน่า ละครับ
ต้องขอตอบดังนี้ครับ ว่าเรื่องกลิ่นเป็นจุดอ่อนของปุ๋ยชีวะภาพ การหมักบ่มทำให้เกิดแก๊สเกิดกลิ่นเหม็น และอยู่กับวัตถุดิบที่เอามาทำ ทำจากมูลสัตว์ชนิดใดก็เหม็นกลิ่นมูลสัตว์ชนิดนั้น ทำจากซากพืชซากสตว์ก็เหม็นไปตามวัตถุดิบที่เอามาทำปุ๋ย
.
กลิ่นทีเวลาเปิดบรรจุภัณฑ์ขึ้นเตะจมูกนี้คือเบาบางแล้วนะครับ เวลาหมักบ่มกลิ่นจะแรงกว่านี้หลายเท่านัก ถ้ารับไม่ได้ทนกลิ่นไม่ไหวใช้เคมีดีกว่าเพราะไม่มีกลิ่นฉุนรุนแรงและปลอดภัยเช่นกัน
.
ทุกวันนี้มีคนแก้กลิ่นปุ๋ยชีวะภาพสำเร็จแค่เพียงบางอย่างเพียงบางเจ้าซึ่งไม่บอกสูตรกันเพราะมันมีผลต่อการค้าและยังมีส่วนน้อยที่แก้กลิ่นฉุนกลิ่นเหม็นกันได้ ซึ่งผมก็ไม่รู้ครับว่าเค้าทำอย่างไร
อ่อ อย่าบอกว่าราขาวที่แก้กลิ่นในมูลหมูเอามาใช้ได้ไหม บอกว่าไม่น่าจะได้เพราะราขาวที่กำจัดกลิ่นในมูลหมู มันก็มีอยู่ในปุ๋ยเช่นกันแต่ๆฉะไหนปุ๋ยถึงมีกลิ่นแรงได้ก็ไม่รู้
.
ส่วนบางคนบอกว่าปุ๋ยหมักบางชนิดก็หอมนะหอมเหมือนกากน้ำตาล ก็อยากจะบอกว่าเค้าก็เอากากน้ำตาลมาเป็นส่วนผสมให้เกิดกรดและจุรินซีเพื่อย่อยวัตถุดิบให้กลายเป็นปุ๋ยนะครับ กากน้ำตาลหลงเหลือแยะก็ได้กลิ่นกากน้ำตาลแยะ กากน้ำตาลน้อยก็อาจไม่ได้กลิ่นกากน้ำตาลแต่กลิ่นออกมาทางวัถตุดิบที่เอามาหมักแทน
.
ส่วนข้อเสียของปุ๋ยชีวะภาพใช้กากน้ำตาลมาหมักที่ไม่ได้//มาตราฐาน//
ที่ต้องระวังก็คือ ปุ๋ยเค้าหวานเกินคือหลังจากการหมักบ่มแล้วยังหลงเหลือความหวานอยู่
.
พอผสมน้ำแล้วทำให้ปุ๋ยหวานอ่อนๆ มดจะมาหา แถมหน้าร้อนจะเกิดการปูดเน่า ราจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าเครื่องปลูกหรือดินชื้นแฉะ จะทำให้เกิดโรคเกิดราขึ้นเอาง่ายๆ
.
ปุ๋ยชีวะภาพ มีข้อควรระวังแยะ จึงใช้ด้วยความระมัดระวังและเลือกซื้อจากเจ้าที่เชื้อถือได้
.
หรือหาวิธีเทสแบบง่ายๆด้วยการหยดปุ๋ยที่ละลายน้ำแล้วตามส่วนผสมที่เขียนไว้ข้างขวดหรือฉลาดที่ระบุไว้ตามบริเวณที่มีมดหรือมดเดินผ่านว่ามดจะเข้ามารุมตอมปุ๋ยหรือไม่
ถ้ามดสนใจปุ๋ยมารุมละก็ให้เดาว่าปุ๋ยมีความหวานหลงเหลืออยู่มากใช้แล้วพืชของท่านจะมีมดมาเยือนเป็นแน่แท้
ดีไม่ดีเพลี้ยแป้งที่ไม่น่าจะมีก็จะตามมาครับ
ต้องขอตอบดังนี้ครับ ว่าเรื่องกลิ่นเป็นจุดอ่อนของปุ๋ยชีวะภาพ การหมักบ่มทำให้เกิดแก๊สเกิดกลิ่นเหม็น และอยู่กับวัตถุดิบที่เอามาทำ ทำจากมูลสัตว์ชนิดใดก็เหม็นกลิ่นมูลสัตว์ชนิดนั้น ทำจากซากพืชซากสตว์ก็เหม็นไปตามวัตถุดิบที่เอามาทำปุ๋ย
.
กลิ่นทีเวลาเปิดบรรจุภัณฑ์ขึ้นเตะจมูกนี้คือเบาบางแล้วนะครับ เวลาหมักบ่มกลิ่นจะแรงกว่านี้หลายเท่านัก ถ้ารับไม่ได้ทนกลิ่นไม่ไหวใช้เคมีดีกว่าเพราะไม่มีกลิ่นฉุนรุนแรงและปลอดภัยเช่นกัน
.
ทุกวันนี้มีคนแก้กลิ่นปุ๋ยชีวะภาพสำเร็จแค่เพียงบางอย่างเพียงบางเจ้าซึ่งไม่บอกสูตรกันเพราะมันมีผลต่อการค้าและยังมีส่วนน้อยที่แก้กลิ่นฉุนกลิ่นเหม็นกันได้ ซึ่งผมก็ไม่รู้ครับว่าเค้าทำอย่างไร
อ่อ อย่าบอกว่าราขาวที่แก้กลิ่นในมูลหมูเอามาใช้ได้ไหม บอกว่าไม่น่าจะได้เพราะราขาวที่กำจัดกลิ่นในมูลหมู มันก็มีอยู่ในปุ๋ยเช่นกันแต่ๆฉะไหนปุ๋ยถึงมีกลิ่นแรงได้ก็ไม่รู้
.
ส่วนบางคนบอกว่าปุ๋ยหมักบางชนิดก็หอมนะหอมเหมือนกากน้ำตาล ก็อยากจะบอกว่าเค้าก็เอากากน้ำตาลมาเป็นส่วนผสมให้เกิดกรดและจุรินซีเพื่อย่อยวัตถุดิบให้กลายเป็นปุ๋ยนะครับ กากน้ำตาลหลงเหลือแยะก็ได้กลิ่นกากน้ำตาลแยะ กากน้ำตาลน้อยก็อาจไม่ได้กลิ่นกากน้ำตาลแต่กลิ่นออกมาทางวัถตุดิบที่เอามาหมักแทน
.
ส่วนข้อเสียของปุ๋ยชีวะภาพใช้กากน้ำตาลมาหมักที่ไม่ได้//มาตราฐาน//
ที่ต้องระวังก็คือ ปุ๋ยเค้าหวานเกินคือหลังจากการหมักบ่มแล้วยังหลงเหลือความหวานอยู่
.
พอผสมน้ำแล้วทำให้ปุ๋ยหวานอ่อนๆ มดจะมาหา แถมหน้าร้อนจะเกิดการปูดเน่า ราจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าเครื่องปลูกหรือดินชื้นแฉะ จะทำให้เกิดโรคเกิดราขึ้นเอาง่ายๆ
.
ปุ๋ยชีวะภาพ มีข้อควรระวังแยะ จึงใช้ด้วยความระมัดระวังและเลือกซื้อจากเจ้าที่เชื้อถือได้
.
หรือหาวิธีเทสแบบง่ายๆด้วยการหยดปุ๋ยที่ละลายน้ำแล้วตามส่วนผสมที่เขียนไว้ข้างขวดหรือฉลาดที่ระบุไว้ตามบริเวณที่มีมดหรือมดเดินผ่านว่ามดจะเข้ามารุมตอมปุ๋ยหรือไม่
ถ้ามดสนใจปุ๋ยมารุมละก็ให้เดาว่าปุ๋ยมีความหวานหลงเหลืออยู่มากใช้แล้วพืชของท่านจะมีมดมาเยือนเป็นแน่แท้
ดีไม่ดีเพลี้ยแป้งที่ไม่น่าจะมีก็จะตามมาครับ
42. กล้วยไม้เน่าอย่าพึ่งรีบกำจัดทิ้ง
![]() ก็ลองเข้าไปดูที่ตัวหนังสือสีส้มเลยครับ
|
41 การดูแลกล้วยไม้ฟาแลนนอปซิสแบบคร่าวๆ
ฟาแลนฯ เป็นกล้วยไม้ที่ชอบความซื้นสูงมากๆ เลยเสี่ยงต่อการเกิดเชื้อรามากๆ เค้าชอบอากาศค่อนข้างเย็นๆ จึงนิยมปลูกในภาคเหนือในระบบอีแว๊ป(โรงเรือนปิด)
.
การจะเอากล้วยไม้จากโรงเรือนปิดออกมาเลี้ยงภายนอกใต้แสลน จึงต้องค่อยๆปรับช้าๆ ให้เค้าชินกับสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น ความชื้นต่ำลง และกระแสลม จึงจะรอด
.
เรื่องของรากสำคัญสุดสำหรับ ฟาแลนฯ ต้องโปร่งแต่ชื้นและแสงต้องผ่านได้บ้าง ตามฟาร์มจึงเน้นกระถางโปร่งแสง มากกว่ากระถางสีดำทึบ เพราะรากเค้าต้องการแสงบ้างเพื่อลดเชื้อรา
.
ซื้งเชื้อราดำเป็นศัตรูอันดับ 1 ขอฟาแลนฯ ซึ่งเกิดได้ง่ายมากๆในกระถางสีทึบ แม้จะป้องกันด้วยยากันเชื้อราแล้วก็ตาม
.
สำหรับยากันเชื้อรา 7 วันครั้งหรือตามฉลากที่ระบุ ใช้ไตรโคเดอรม่าควบคุมเชื้อราก็จะประหยัดได้เหมือนกันเพราะเชื้ออยู่ได้นาน หลายๆเดือนโดยไม่ต้องฉีดพ่นบ่อยๆ แต่ไตรโครเดอรม่าเป็นเชื้อราเขียวที่กินเชื้อราชนิดอื่นๆ จึงห้ามใช้ยาฆ่าเชื้อราไปรดซ้ำเพราะเค้าแพ้ยาฆ่าเชื้อรา
.
เนื่องจากรากของฟาแลนฯ ชอบความชื้นสูงมากจึงไม่สามารถขาดน้ำ เค้าจึงใช้สแฟกนั่มมอสผสมเครื่องปลูก หรือใช้เป็นเครื่องปลูกหลักๆ
แต่ๆหลังจากเทสว่าถ้าผสมเครื่องปลูกชนิดอื่นๆที่โปร่งไม่อมน้ำ รากฟาแลนเดินดีกว่าเร็วกว่า รากไม่ไปขดตัวอยู่ที่ก้นกระถาง และผิวขอบกระถางส่วนกลางกระถางรากไม่เดินเพราะทึบเกินไป
.
ฟาแลนฯรากเค้าต้องการอากาศเหมือนกัน แต่น้อยกว่าสายพันธุ์อื่นมากๆ สังเกตคือรากไม่ค่อยออกจากกระถางไม่โผลพ้นก้นกระถาง เลือกที่จะพันรอบๆในกระถาง
.
ส่วนเรื่องแสงให้ดูตามสายพันธุ์แต่ส่วนมากจะน้อยกว่าหวาย คือแสงน้อยอากาศเย็น เค้าจะชอบโตไว ยิ่งช่วงหน้าฝนจะโตไวถ้าให้ยากันเชื้อราสม่ำเสมอจะทำให้ต้นโตไวแข็งแรง (แสงประมาณ 20-30)
.
เน้นอีกทีเรื่องราก รากเค้าไม่มีแห้งย่น แต่แห้งกรอบเลยถ้าขาดความชื้นเกิน 2 ชั่วโมงคือรากเสียแล้วจะเสียเลยไม่เหมือนช้างหรือแวนด้าที่รากอากาศขาดน้ำ แค่ย่นหดได้รับน้ำมากก็กลับมาสู่สภาพเดิมได้ สังเกตจากรากที่อยู่บนๆถ้าโผล่พ้นสแฟกนั่มมอสที่ปลูกอยู่มาก จะแห้งไปเอง ไม่อาจคงอยู่ได้
.
กระถางควรใช้กระถางโปรงแสง ไม่ต้องมีรูพรุนแบบกระถางกล้วยไม้ทั่วไป แค่มีรูก้นกระถางเค้าชอบ เพราะรากชอบไปก้นกระถางก่อนแล้วค่อยๆไปส่วนอื่นๆ(วนๆอยู่ผิวกระถาง ) ถ้ากระถางใสๆจะเห็นง่ายมากๆ
.
กรณีต้นใหญ่หากระถางใสๆไม่ได้จริงๆ ก็หาโหลพลาสติกเจาะรูเอา เพื่อ ใช้เป็นกระถาง
.
ส่วนดินมะยมอัดเม็ดไม่แนะนำ ราขึ้นง่ายมากๆ เอาแบบเมืองนอกไม่ได้เพราะเค้าอากาศเย็นจึงนิยมใช้ดินเผาเม็ดมะยม เพราะราเกิดยากอากาศเค้าเย็นกว่าแห้งกว่า กากมะพร้าวก็ไม่แนะนำเพราะอยู่ในกระถางอับชื้นจะเกิดราได้ง่าย จึงไม่ควรใช้กาบมาะพร้าวเป็นเครื่องปลูก
.
ปุ๋ยผสมน้ำดีสุด ไม่ควรใช้อ๊อดโมคอส เพราะรากจะใหม้เอาง่ายๆ ยกเว้นสูตร 11-11-11 ซึ่งค่าปุ๋ยไม่แรงเกิน
.
การรดน้ำ ถ้าเครื่องปลูกหมาดๆใกล้แห้งรดได้เลย ไม่ต้องรอเป๊ะ 5-7วัน ให้ดูสภาพแวดล้อมที่เลี้ยงเป็นหลัก บางที่ร้อนมาก 3 วันเครื่องปลูกก็แห้งแล้ว ต้องรด
.
ส่วนเครื่องปลูกไม่อมความชื้นหรือความชื้นน้อยก็รดบ่อยๆหน่อย ไม่งั้นรากจะแห้ง ทิ้งใบใบเหลือง
.
ส่วนโรคเน่ายอดเป็นโรคฮิตต้องคอยระวังไม่ให้น้ำขังยอดใบหรือโคนใบบนวิธีรด น้ำที่ถูกวิธีคือรดที่เครื่องปลูกไม่ควรไปโดนใบ ยกเว้นพ่นยากันเชื้อรา
.
โรคใบเหลือง บางที่เกิดจากรากเสียทำให้ทิ้งใบร่างเพื่อลดใบทิ้งใบให้พอกับอาหารที่เค้ามี คล้ายๆช้างออกดอกจะทิ้งใบร่างๆก่อนเพราะเอาอาหารไปเลี้ยงช่อดอกมาก จึงทำให้ต้องสลัดใบทิ้ง
.
ส่วนโรคกล้วยไม้ฟาแลนเค้าก็เป็นได้เกือบทุกโรคที่กล้วยไม้อื่นเป็น แก้ไปตามอาการที่เจอ แต่ถ้าพ่นยากันเชื้อรากันแมลงสม่ำเสมอก็หายห่วงไปได้เปาะ 1 แต่ก็ไว้ใจไม่ได้ ถ้าใบมีแหว่งเสียจากหนอนผีเสื้อตัดรอบใบเผลอที่โดนกัดแล้วทาปูนแดงบางๆ(ย้ำ ว่าบางๆพอมากไปปูนเข้าใบใบเสียทั้งใบเน้อ)
.
ปล.ยาวเนอะ ส่วนพวกเขากวางหรือฟาแลนใบกลม อันนั้นรากไม่ต้องการความชื้นเท่าฟาแลน รากต้องการความชื้นบ้างพอๆกับหวาย จึงมักจะมัดกับตอหรือลงกระถางที่มีกากมะพร้าวเน้อ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)