วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2559

46.วิธีเรียกรากรองเท้านารี

ถ้าใครเลี้ยงอยู่ ลองเข้าไปดูนะครับ มีประโยชน์ดี 

45.อยากทำให้กล้วยไม้ออกดอกสมบูรณ์และออกมากว่า 1 ช่อนี้

คนเลี้ยงกล้วยไม้หลายๆท่าน มีคำถามในใจว่า อยากทำให้กล้วยไม้ออกดอกสมบูรณ์และออกมากว่า 1 ช่อนี้ จะทำยังไงได้บ้าง
.

ขอพูดแบบองค์รวมนะครับ ส่วนรายละเอียดนั้นอยากให้ลองศึกษากันเอง และต้องเข้าใจเทคนิคแต่ละอย่างให้ท่องแท้ก่อนลงมือจะทำนะครับผม
.

หลายๆท่านเลือกที่จะหาอะไรต่อมิอะไรให้กล้วยไม้ได้กิน ต้องนั่งอ่านฉลากปุ๋ย ธาตุอาหารกล้วยไม้ ธาตุหลักธาตุลองจนไปถึงแร่เสริมสารชีวะภาพ จนตาพล่ากันไปก็มี
.

และหลายๆท่านก็พยายามทดลองเทคนิตต่างๆเพื่อให้ได้ตามความต้องการ
.

ที่นี้มันขึ้นอยู่กับเทคนิคของแต่ละท่านละครับ ว่าจะทำยังไงกันดี ทำอย่างไรกันบ้าง ผสมผสานกับเทคนิคอะไรเข้าไปบ้าง และแต่ละท่านได้คำตอบอย่างไรบ้าง
.

บ้างก็เอาเข้าโรงเรือนแบบอีแว๊ปปรับสภาพอากาศเป็นหน้าออกดอกของกล้วยไม้นั้นๆ

บ้างก็บำรุงด้วยปุ๋ยด้วยยาหรือแร่ธาตุและสมุนไพรที่พอจะเอามาช่วยได้

บ้างก็ว่าระบบน้ำหยดเพื่อขยายรากให้รากเจริญมากกว่าปรกติเพื่อสำหรับการใช้ปุ๋ย

บ้างก็ถังน้ำผสมปุ๋ยและแร่ธาตุไว้สำหรับเพื่อแช่กล้วยไม้ทั้งต้นเลยแบบจับเวลา

บ้างก็ใช้ปุ๋ยโดสอ่อนๆแต่ใช้บ่อยโดยใช้เกือบทุกๆวัน

บ้างใช้เครื่องพ่นหมอกจากน้ำที่ผสมปุ๋ยหรือแร่ธาตุเพื่อให้กล้วยไม้ได้รับความชุ่มชื้นอันยาวนานและได้รับปุ๋ยอย่างช้าๆ
.

เป็นต้น
.
ลองศึกษาและทำความเข้าใจดูครับว่าเราเหมาะกับทำเทคนิคแบบไหน อันไหนประหยัดทุนอันไหนยุ่งยาก อันไหนใช้ทุนสูง ก็เลือกเอาตามความเหมาะสมและการทดลองครับ
.
หลักๆคือต้องบำรุงรากให้แข็งแรงครับรากแข็งแรงรากมีมาก โอกาสที่ต้นไม้จะสมบรูณพื้นตัวเร็วก็มีมากส่งอาหารได้มากก้านช่อดอกก็จะแข็งแรงมาก ถ้าแข็งแรงมากๆก็จะส่งก้านดอกออกมามากกว่า 1 ช่อ
ฉะนั้น อยากใ้ห้กล้วยไม้ออกดอกมากๆออกหลายๆช่อ นอกจากเรื่องปุ๋ยยาอาหารเสริมธาตุเสริมแล้วต้องให้กล้วยไม้มีรากที่แข็งแรงสะก่อนครับ

ปล.ถ้านึกอะไรออกเดี๋ยวจะมาบอกครับ

44.การเข้าใจผิดเรื่องเคมีหลายๆอย่างไม่อันตรายโดยเฉพาะปุ๋ยไม่อันตรายต่อมนุษย์และสัตว์

สบู่ ยาสีฟัน ยาสระผม ครีมทาผิว เครื่องสำอาง น้ำตาล น้ำส้ม เกลือ สิ่งเหล่านี้คือสารเคมีในชีวิตประจำวันที่เราใช้แล้วไม่เป็นอันตราย

ปุ๋ยกล้วยไม้ก็เช่นกัน และสารกำจัดแมลงบางชนิดก็เช่นเดียวกันไม่อันตราย
บางคนกลัวเคมีตกค้างอันตราย มันอันตรายเฉพาะบางอย่างครับ พวกสารอันตรายจะมีเครื่องหมาย หัวกระโหลกเสมอๆ
.
ส่วนพวกที่ไม่อันตรายจะไม่ไม่ แต่ถ้ากังวนก็อ่านฉลากแล้ว ลงค้นหาจากในเนตดูครับ
ว่าปุ๋ยเคมีหรือสารอะไรก็ตามที่เอามาใช้กับต้นไม้แล้ว อันไหนปลอดภัย อันไหนอันตราย ก็เลือกใช้ไปตามนั้น
.
ส่วนเครื่องมือป้องกันสารอันตรายกรณีต้องใช้จริงๆ ก็ควรหามาใช้ครับ หน้ากากกรองฝุ่น หรือกันทั้งหน้าเลยก็ดี หมวก ถุงมือ หรือเสื้อร่มไว้คลุมทั้งตัวป้องกันสารเคมีโดนตัว ใช้แล้วล้างให้สะอาด ล้างหัวก๊อกน้ำด้วยจะดีมากๆ
.
ที่ต้องกังวนหรือข้อควรระวังพวกสารเคมีที่ตกค้างนานตะหากละครับ
พวกนี้อันตรายแน่นอน แต่อ่านฉลากเลือกสารตัวอื่นที่ได้ผลเหมือนกันแต่ไม่ตกค้างในพื้นที่นานก็จะปลอดภัย
.
ผมเข้าใจครับ ว่าคนที่ไม่เคยเลี้ยงต้นไม้ พอได้ยินคำว่าเคมี นึกไปถึงสารพิษยาฆ่าแมลงที่ตกค้างนาน แต่จริงๆมันไม่ใช่ครับ
ปุ๋ยเคมีก็ไม่ใช่สารพิษ เหมือนเคมีทั่วๆไปที่เราใช้เราสัมผัสในชีวิตประจำวันครับ จึงไม่ต้องวิตก ตกอกตกใจกันไป

21.กล้วยไม้ฟาแลนน๊อตชีปในระบบโรงเรือนปิด(อีแว๊ป)เราสามารถปรับให้ค้าอยู่ในโรงเรือนธรรมดาได้

ขอเกิ่นเรื่องของการอีแว๊ปก่อนส่วนวิธีการปรับอยู่ล่างๆครับ 
โรงเรือนปิดบางที่เลือกช้แสงเทียมจะหลอดไฟ ซึ่งเดี๋ยวนี้มีหลอดสำหรับเลี้ยงตู้ไม้น้ำ เราเอามาเลี้ยงกล้วยไม้ได้เช่นกัน
.
จุดประสงค์ของการใช้แสงเทียมเพื่อให้ กล้วยไม้ได้รับแสงที่เพียงพอในแต่ละวันนั้นเองครับ ลดปัญหา แสงไม่สม่ำเสมอไปเลย เพราะให้ค่าแสงที่คงที่ตลอดช่วงเวลาที่เราอยากให้เค้าได้รับ
.

สำหรับบางคนที่อยากได้ต้นฟอร์มสวยๆ ไร้แมลงรบกวน และอยากให้สมบูรณ์ฟอร์มดี เทคนิคนี้จึงมีผู้หันมาใช้กันเป็นลำดับ(คือญีปุ่นมาทำที่เชียงใหม่นะ ช่วงหน้าหนาวแดดน้อยเค้าแก้ปัญหาแบบนี้) หลายๆท่านไปเห็นเลยได้มาเล่าสู่กันฟัง ผมฟังเฉยๆเพราะไม่เคยไปเห็น
.

แถมบางคนใช้เครื่องตั้งเวลาเปิดหลอดไฟตั้งเวลารดน้ำด้วยอีกตะหาก ซึ่งทำให้ผลลัพที่ได้ดีมากๆ บางรายใช้เครื่องพ่นหมอกตั้งเวลาเป็นระยะ ให้พ่นหมอกหลายช่วงเวลาที่กำหนด เพื่อให้มันสมบูรณ์แบบมากขึ้นเหมือนมีความชื้นที่ช่วงเวลาที่เหมาะสม
.

บางคนอาจจะดูว่าไม่จำเป็น แต่บางคนก็มองเห็นประโยชน์ อันนี้แล้วแต่มุมมอง
.

บางคนสงสัยว่าแล้วแบบนี้เราจะใช้กับกล้วยไม้ได้ทุกชนิดไหม ก็เท่าที่ผมรู้เกือบๆทุกๆสายพันธุ์ ขึ้นอยู่กับการออกแบบอีแว๊ปว่าจะทำให้ปรับอุณหภูมิได้หรือไม่ ร้อนหนาวเราหาเครื่องมาทำได้แน่นอนแต่ จะคุ้มหรือไม่ก็ว่ากันไป อยากให้ ร้อนเป็นหน้าแร้งแดดแรงๆก็ทำได้ แม้ข้างนอกจะหนาวมากก็เถอะ หรือจะให้เย็นฉ่ำแต่นอกอีแว๊ปร้อนตับแล๊ปก็ทำได้
.

บางคนสงสัยว่าแล้วดูไม่คุ้มนะ ต้องบอกว่า เดี๋ยวนี้มันไม่จำเป็นต้องทำใหญ่โตครับ แถมมีคนนำเข้าตู้เพาะต้นไม้ในร่มมาขายแล้วครับ มีหลายขนาดด้วยไม่ต้องใช้พื้นที่มากมาย แต่ผมถามเค้าเงียบ เลยเออ งั้นก็ไม่ถาม มาหลังจากที่มีข่าวปลูกกันชาในห้องนั้นแหละครับที่ใช้หลอด led ปลูกกันชาในห้อง
.

ถ้าซื้อแต่หลอดไฟ พัดลมเป่า เอาเครื่องเครื่องพ่นหมอกมาทำเองเลี้ยงเองในห้องในบ้านก็ได้ครับ สำหรับอยากไว้ชมในบ้านโดยสั่งตัดตู้สักใบให้มีช่องระบายอากาศด้านข้างหรือด้านหลังติดพัดลมดูดอากาศด้านหลังสักตัวเพื่อให้อากาศไหลเวียนก็น่าจะดีแล้วละครับผม
.

(ผมก็เคยคิดจะทำนะ แต่กลัวเปลืองค่าไฟเลยไม่เอาดีกว่า ) ใครอยากทำสำเร็จรูปพร้อมขายก็ดีนะ มาเป็นตู้เลย555 ขายพร้อมตู้และของตบแต่ง
.


ที่เอ่ยถึง ฟาแลน เพราะการเพาะขยายหรือการเลี้ยงดู มักจะอยู่ในสภาพอากาศที่ปิด และมักอยู่ในภาพที่ค่อนข้างเย็นถึงเย็นมาก(ในห้องแอร์) ที่นี้มาเจอสภาพอากาศที่อุณหภูมิสูงหน่อยชื้น น้อยหน่อย จะเกิดการเน่าเละได้ง่ายๆ หรือปรายใบดำเหี่ยวได้ง่ายๆเช่นกัน หรือใบค่อยๆบางลงๆ รากยึดยาวพยายามออกนอกกระถางทั้งๆที่ต้นยังไม่โต
.

ทีนี้มาพูดถึงว่าทำไมเราต้องเอาออกมาภายนอกด้วยในเมื่อเลี้ยงในห้องรับแขกหรือในห้องอื่นๆที่มีสภาพไม่ร้อน แสงน้อย(สภาพหลอดฟลูออเรสเซนต์)
.

คือมันเป็นแบบนี้นะครับ หลักจากที่ดอกหมดและกำลังจะต่อก้าน(ขึ้นดอกใหม่บนก้านเดิม)ถ้าเลี้ยงในห้องเหมือนเดิมดอกไม่ออกเลยหรือน้อยมากที่จะออก ก้านดอกจะฝ่อไปเองโดยอัตโนมัตครับ
.


ถ้าอยากเห็นเค้าออกดอกอีกให้เอาออกมาภายนอกเพื่อให้ ฟาแลนได้รับแสงที่มากขึ้นให้อยู่อากาศที่ถ่ายเทมากขึ้น แต่ต้องอยู่ในที่ๆอุณหภูมิไม่สูงเกิน 27 องค์ศา ถ้ามากกว่านี้มีปัญหาครับ
.

แต่ก็ไม่เสมอไป คือเอาออกมาอยู่ในโรงเรือนพลางแสง 80 % หรือ 85 % ครับ พลางแสงอย่าน้อยกว่านี้ใบอาจจะใหม้เอาได้ สภาพโรงเรือนก็เหมือนๆทั่วๆไปคือด้านล่างต้องชื้นแต่ไม่อบลมต้องผ่าน ถ้าลมไม่ผ่านต้องเปิดพัดลม ถ้าไม่มีใช้พัดลม อบปุ๊บรามา แต่ให้ลมพัดเฉพาะโดนต้นเพื่อป้องกันด้านล่างไม่ให้เสียความชื้นมากเกิน
.

ที่ต้องทำแบบนี้เพื่ออะไรหรือครับ เพื่อทีจะให้ออกก้านดอกใหม่ให้ต้นเจริญเติบโตแข็งแรง และปรับสภาพให้เค้าเข้ากับสภาพอากาศบ้านเราได้นั้นเอง
.

ถ้าไม่ทำแบบนี้ได้ไหมได้ครับ ถ้าเลี้ยงในห้องที่แถวๆบริเวณหน้าต่างมีแสงส่อง ถึง แต่ๆต้องพ่นยากันเชื้อรามากหน่อย เพราะอากาศไม่ถ่ายเท ต้นโตช้าออกดอกยากขึ้นๆไปตามลำดับ ใบเขียวเข้มมากๆจนถึงมากจนดูไม่สวย(เขียวๆดำๆ)
.


ฉะนั้นจึงควรย้ายช่วงเย็นๆถึงค่ำๆเพราะต้องให้เค้าค่อยปรับสภาพจะปรับสภาพได้ง่ายๆ ไม่ค่อยเกิดปัญหากับใบรำด้นและดอก ที่ต้องทำแบบนี้เพื่อให้เค้าทนอุณหภูมิได้สูงขึ้นและปรับตัวเข้ากับทุกสภาพอากาศอย่างช้าๆอยู่ในที่ร่มยังไม่ควรโดนแดดอ่อนในวันแรก ต้องค่อยปรับให้เค้าเจอแดดอ่อนช่วงเช้า ต้นฟาแลนจึงปรับตัวได้ทัน (หรือพลางแสงไว้ 80%เพื่อป้องกันไม่ให้เจอแดดแรงๆในยามเที่ยงหรือบ่ายๆ) อ่อถ้าลมไม่พัดเลยเปิดพัดลมเพื่อให้อากาศระบายได้ดีนะไม่งั้นรากินเช่นกันครับ
.

และยากันเชื้อรา เราควรใช้ด้วยครับ เพราะฟาแลนรากชอบความชื้นมากกว่าหวายนิด1 แต่อากาศต้องระบายได้ดีพอสมควร กระถางฟาแลนจึงต่างกว่ากระถางกล้วยไม้ขนิดอื่นๆคือ รุไม่พรุนมากเพราะรากใช้อากาศในการหายใจน้อยกว่ากล้วยไม้ชนิดอื่นๆแต่ชอบความชื้นมากกว่าชนิดอื่นๆ เลยที่จะมีโอกาศเชื้อราจะเกิดที่เครื่องปลูกหรือรากได้ง่ายๆ
.

อยู่ในฟาร์มเค้าใช้ยากันเชื้อราอยู่แล้วครับ แต่เราเอาเค้ามาอยู่บ้านอย่าให้ขาดยากันราเชียวละครับ ที่นี้เราก็เลือกยากันเชื้อราที่เราหาได้ในแต่ละพื้นที่ครับและต้องถามก่อนทุกครั้งอ่านฉลากก่อนให้เข้าใจและใช้ในปริมาณน้อยๆ หรือครึ่ง 1 ของฉลากที่บอกก่อนเพื่อให้ต้นกล้วยไม้ของเราปรับสภาพหรือให้เค้ารู้จักยาที่เราใช้ก่อนครับ เพราะในฟาร์มอาจจะใช้ยาที่ไม่เหมือนเรา มันมีผลเหมือนกันครับ ตรงนี้ ยาปุ๋ย ถ้าใช้ต่างชนิดต่างยี้ห้อ กล้วยไม้จะค่อนข้างอ่อนไหวและจะมีปัญหาตามมาได้ครับ (คือแบบตายแบบไม่ทราบสาเหต)
.



มีคนเคยสงสัยเป็นข้อๆครับเลยมาขอต่อในบทความนี้ครับ ว่า

1 ไม้ที่โตมาจากสภาพอากาศเปิดจะเอาเข้าอีแว๊ปเพื่อจุดประสงค์อะไร
2 ถ้าเข้าอีแว๊ปแล้วไม้ไม่ทนต่อสภาพออกการเปิดอีกต่อไปหรือไม่
3 ถ้าเข้าอีแว๊ปแล้วสวยขึ้นเฉพาะที่อยู่ในโรงเรือนปิด พอต้องการนำจำหน่ายสภาพมันจะไม่คงทนเหมือนอยู่ในอีแว๊ปหรือไม่
4ไม้ที่โตมากับโรงเรือนปิดแบบอีแว๊ป(ปรับสภาพอุณหภูมิ จะทนต่อสภาพอากาศเปิด(โรงเรือนเปิด)ได้หรือไม่
.

เอาเป็นว่าประเด็นหลักๆเป็นแบบนี้นะขอรับ.
.


ตอบข้อ 1 เพื่อทำฟอร์มส่งประกวด ต้น ดอก ใบ หรือเพื่อออกดอกนอกฤดูกาล.
.


ตอบข้อ 2 กล้วยไม้จะทนทานเหมือนเช่นสมัยก่อนที่ จะเข้าอีแว๊ป แต่ฟอร์ม
การออกดอกครั้งต่อไปจะไม่ดกหรือขึ้นหลายช่
.

ตอบข้อ 3 ถ้าเอามาปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศเปิดแบบช้าๆค่อยเป็นค่อยไป สามารถอยู่ทนได้เพราะกล้วยไม้ปรับตัวเก่งมากๆอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่ก็ให้เลือกต้นที่แข็งแรงมาจำหน่ายเพราะบางต้นมันก็มีตำนิไปตามสภาพ(ใบเสียหรือบางลงดอกมีตำหนิหรือไม่สมบูรณ์บ้าง)
.

ตอบข้อ 4 คล้ายๆข้อ3 บางฟาร์มจะบอกเลยว่าเป็นไม้จากอีแว๊ป เพราะจะให้เข้าใจกันว่า เอาไปแล้วสภาพมันจะไม่สมบูรณ์เหมือนตอนที่เลี้ยงในฟาร์มนะ มีตำนิไปบ้าง จากการปรับสภาพ
.

แต่ๆ หลาย ฟาร์มก็มักง่าย อยากขายจนไม่ได้บอกคนเลี้ยง ไม่ปรับสภาพก่อนส่ง ออกจากฟาร์มรีบถ่ายรูป แล้วมีคนสั่งแพ๊คเลยไม่มีการเอามาพักภายนอกระบบอีแว๊ปให้เข้ากับอากาศสภาพอากาศเปิด
.

คนเลี้ยงเห็นรูปต้นสมบูรณ์ใบอวบ ดอกใหญ่หรือดอก ก้านช่อยาว รีบซื้อเพราะกลัวหมดกลัวไม่ได้ แต่พอเอามา กลับใบค่อยๆบางลงๆ ปุ๋ยก็ใส่ ยาก็ให้ แต่ก็ยังจะเกิดโรคได้ง่ายๆ บางต้นตายแบบไม่มีปีไม่มีขลุ่ย
เพราะอะไรหรือ เพราะมันทนไม่ไหวกับสภาพอากาศเปิดที่ไม่ได้ปล่อย ให้ปรับสภาพอากาศ คือ บางทีเปิดจากกล่องมาก็เน่าคากล่องเลย เพราะมันอบในกล่องแถมบ้านเราอากาศร้อน ไปรษณีย์ไทยเราก็เอาแน่เอานอนไม่ได้บทจะช้าก็ช้าบทจะเร็วก็ส่งเร็ว สภาพกล่องต้องนั่งลุ้นเอาว่ามาสภาพดีหรือสภาพ...ทนดูได้ .
.

ถ้ากล้วยไม้มาไม่เป็นไร แต่พอเลี้ยงไปสักพักก็อย่างที่บอกครับ สภาพมันจะโทรมไวมากๆ แถมอ่อนแอต่อสภาพอากาศเปิดมากๆ ร้อนหน่อยรีบเหี่ยวดอกร่วงไว บางทีมีใบใหม้ให้ดูอีกหรือใบบางกรอบ(แห้งเขียว)เพราะขาดน้ำ หรือราขึ้นง่ายมากๆ .
.

การปรับสภาพฟาแลนจากไม้อีแว๊ปมาสู่โรงเรือนธรรมดา ก็ไม่ได้ยุ่งยาก ควรย้ายตอนกลางคืนอุณภูมิจะได้จากเย็นเป็นร้อนใจากกลางคืนเป็นกลางวัน แต่ควรให้อยู่ในที่ร่มมีแสงไม่ควรโดนแดดเลยแม้แต่นิดเดียว

.
 น้ำก็ไม่ควรให้ขาดควรรดให้ชุ่มในตอนเช้า และไม่ควรให้โดนลมแรง เพียงแค่ 2 วันเค้าก็พร้อมออกเลี้ยงในโรงเรือนปรกติที่มีการพลางแสงให้พอดีกับเค้าเค้าก็สามารถอยู่ได้ออกดอกได้ ใบอาจเหี่ยวย่นบ้างนิดหน่อยถ้าเค้าปรับสภาพได้นานไปอาการเหี่ยวย่นจะหายไปเอง 

43. เรื่องของกลิ่นปุ๋ยหมักปุ๋ยชีวะภาพ

ส่วนจดหมายน้อยอีกฉบับถามมาว่า เรื่องของกลิ่นปุ๋ย ทำไมปุ๋ยชีวะภาพจึงมีกลิ่นที่ไม่ค่อยน่าใช้ หรือมีกลิ่นเหมือนน้ำตาลปูดหรือน้ำหมักชีวะภาพ หรือมีกลิ่นเหม็นเหมือนมูลสัตว์ เหม็นเหมือนขยะเน่า ละครับ

ต้องขอตอบดังนี้ครับ ว่าเรื่องกลิ่นเป็นจุดอ่อนของปุ๋ยชีวะภาพ การหมักบ่มทำให้เกิดแก๊สเกิดกลิ่นเหม็น และอยู่กับวัตถุดิบที่เอามาทำ ทำจากมูลสัตว์ชนิดใดก็เหม็นกลิ่นมูลสัตว์ชนิดนั้น ทำจากซากพืชซากสตว์ก็เหม็นไปตามวัตถุดิบที่เอามาทำปุ๋ย
.

กลิ่นทีเวลาเปิดบรรจุภัณฑ์ขึ้นเตะจมูกนี้คือเบาบางแล้วนะครับ เวลาหมักบ่มกลิ่นจะแรงกว่านี้หลายเท่านัก ถ้ารับไม่ได้ทนกลิ่นไม่ไหวใช้เคมีดีกว่าเพราะไม่มีกลิ่นฉุนรุนแรงและปลอดภัยเช่นกัน
.

ทุกวันนี้มีคนแก้กลิ่นปุ๋ยชีวะภาพสำเร็จแค่เพียงบางอย่างเพียงบางเจ้าซึ่งไม่บอกสูตรกันเพราะมันมีผลต่อการค้าและยังมีส่วนน้อยที่แก้กลิ่นฉุนกลิ่นเหม็นกันได้ ซึ่งผมก็ไม่รู้ครับว่าเค้าทำอย่างไร
อ่อ อย่าบอกว่าราขาวที่แก้กลิ่นในมูลหมูเอามาใช้ได้ไหม บอกว่าไม่น่าจะได้เพราะราขาวที่กำจัดกลิ่นในมูลหมู มันก็มีอยู่ในปุ๋ยเช่นกันแต่ๆฉะไหนปุ๋ยถึงมีกลิ่นแรงได้ก็ไม่รู้
.

ส่วนบางคนบอกว่าปุ๋ยหมักบางชนิดก็หอมนะหอมเหมือนกากน้ำตาล ก็อยากจะบอกว่าเค้าก็เอากากน้ำตาลมาเป็นส่วนผสมให้เกิดกรดและจุรินซีเพื่อย่อยวัตถุดิบให้กลายเป็นปุ๋ยนะครับ กากน้ำตาลหลงเหลือแยะก็ได้กลิ่นกากน้ำตาลแยะ กากน้ำตาลน้อยก็อาจไม่ได้กลิ่นกากน้ำตาลแต่กลิ่นออกมาทางวัถตุดิบที่เอามาหมักแทน
.

ส่วนข้อเสียของปุ๋ยชีวะภาพใช้กากน้ำตาลมาหมักที่ไม่ได้//มาตราฐาน//
ที่ต้องระวังก็คือ ปุ๋ยเค้าหวานเกินคือหลังจากการหมักบ่มแล้วยังหลงเหลือความหวานอยู่
.

พอผสมน้ำแล้วทำให้ปุ๋ยหวานอ่อนๆ มดจะมาหา แถมหน้าร้อนจะเกิดการปูดเน่า ราจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าเครื่องปลูกหรือดินชื้นแฉะ จะทำให้เกิดโรคเกิดราขึ้นเอาง่ายๆ
.

ปุ๋ยชีวะภาพ มีข้อควรระวังแยะ จึงใช้ด้วยความระมัดระวังและเลือกซื้อจากเจ้าที่เชื้อถือได้
.

หรือหาวิธีเทสแบบง่ายๆด้วยการหยดปุ๋ยที่ละลายน้ำแล้วตามส่วนผสมที่เขียนไว้ข้างขวดหรือฉลาดที่ระบุไว้ตามบริเวณที่มีมดหรือมดเดินผ่านว่ามดจะเข้ามารุมตอมปุ๋ยหรือไม่
ถ้ามดสนใจปุ๋ยมารุมละก็ให้เดาว่าปุ๋ยมีความหวานหลงเหลืออยู่มากใช้แล้วพืชของท่านจะมีมดมาเยือนเป็นแน่แท้
ดีไม่ดีเพลี้ยแป้งที่ไม่น่าจะมีก็จะตามมาครับ

42. กล้วยไม้เน่าอย่าพึ่งรีบกำจัดทิ้ง





ก็ลองเข้าไปดูที่ตัวหนังสือสีส้มเลยครับ 

รองเท้านารี (ลืมบอกขอแก้นิดควรแยกไม้ออกมาตะหากนะครับอย่าเอาไปเลี้ยงรวมจนกว่าจะงอกจนแข็งแรงไม่มีอาการโรคราเน่าแล้วถึงเอากลับเข้ามาเลี้ยง)



ตัดส่วนที่เน่าทิ้งให้ไกลๆเลยไม่ให้เชื้อเน่ามันกลับมาอีกแล้วทาปูนแดง(บางๆเน้นบางๆ) ก็แตกหน่อขึ้นมาใหม่ได้

อ่อยากันเชื้อรายับยั้งเชื้อรา แก้เน่า(ถ้ามี) ใช้ด้วยนะครับ ประมาณ 1-2 อาทิตย์จะเห็นต้นอ่อนขึ้นใหม่(แตกหน่อ)
ลองเข้าไปดูครับ เลือนลงมาแถวกลางๆหน่อยครับ





ยอดเน่าตัดยอดทิ้งทดปูนแดง โอกาสเกิดหน่อใหม่ได้ครับถ้ารากแข็งแรง

41 การดูแลกล้วยไม้ฟาแลนนอปซิสแบบคร่าวๆ


ฟาแลนฯ เป็นกล้วยไม้ที่ชอบความซื้นสูงมากๆ เลยเสี่ยงต่อการเกิดเชื้อรามากๆ เค้าชอบอากาศค่อนข้างเย็นๆ จึงนิยมปลูกในภาคเหนือในระบบอีแว๊ป(โรงเรือนปิด)
.
การจะเอากล้วยไม้จากโรงเรือนปิดออกมาเลี้ยงภายนอกใต้แสลน จึงต้องค่อยๆปรับช้าๆ ให้เค้าชินกับสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น ความชื้นต่ำลง และกระแสลม จึงจะรอด
.
เรื่องของรากสำคัญสุดสำหรับ ฟาแลนฯ ต้องโปร่งแต่ชื้นและแสงต้องผ่านได้บ้าง ตามฟาร์มจึงเน้นกระถางโปร่งแสง มากกว่ากระถางสีดำทึบ เพราะรากเค้าต้องการแสงบ้างเพื่อลดเชื้อรา
.
ซื้งเชื้อราดำเป็นศัตรูอันดับ 1 ขอฟาแลนฯ ซึ่งเกิดได้ง่ายมากๆในกระถางสีทึบ แม้จะป้องกันด้วยยากันเชื้อราแล้วก็ตาม
.
สำหรับยากันเชื้อรา 7 วันครั้งหรือตามฉลากที่ระบุ ใช้ไตรโคเดอรม่าควบคุมเชื้อราก็จะประหยัดได้เหมือนกันเพราะเชื้ออยู่ได้นาน หลายๆเดือนโดยไม่ต้องฉีดพ่นบ่อยๆ แต่ไตรโครเดอรม่าเป็นเชื้อราเขียวที่กินเชื้อราชนิดอื่นๆ จึงห้ามใช้ยาฆ่าเชื้อราไปรดซ้ำเพราะเค้าแพ้ยาฆ่าเชื้อรา
.
เนื่องจากรากของฟาแลนฯ ชอบความชื้นสูงมากจึงไม่สามารถขาดน้ำ เค้าจึงใช้สแฟกนั่มมอสผสมเครื่องปลูก หรือใช้เป็นเครื่องปลูกหลักๆ
แต่ๆหลังจากเทสว่าถ้าผสมเครื่องปลูกชนิดอื่นๆที่โปร่งไม่อมน้ำ รากฟาแลนเดินดีกว่าเร็วกว่า รากไม่ไปขดตัวอยู่ที่ก้นกระถาง และผิวขอบกระถางส่วนกลางกระถางรากไม่เดินเพราะทึบเกินไป
.
ฟาแลนฯรากเค้าต้องการอากาศเหมือนกัน แต่น้อยกว่าสายพันธุ์อื่นมากๆ สังเกตคือรากไม่ค่อยออกจากกระถางไม่โผลพ้นก้นกระถาง เลือกที่จะพันรอบๆในกระถาง
.
ส่วนเรื่องแสงให้ดูตามสายพันธุ์แต่ส่วนมากจะน้อยกว่าหวาย คือแสงน้อยอากาศเย็น เค้าจะชอบโตไว ยิ่งช่วงหน้าฝนจะโตไวถ้าให้ยากันเชื้อราสม่ำเสมอจะทำให้ต้นโตไวแข็งแรง (แสงประมาณ 20-30)
.
เน้นอีกทีเรื่องราก รากเค้าไม่มีแห้งย่น แต่แห้งกรอบเลยถ้าขาดความชื้นเกิน 2 ชั่วโมงคือรากเสียแล้วจะเสียเลยไม่เหมือนช้างหรือแวนด้าที่รากอากาศขาดน้ำ แค่ย่นหดได้รับน้ำมากก็กลับมาสู่สภาพเดิมได้ สังเกตจากรากที่อยู่บนๆถ้าโผล่พ้นสแฟกนั่มมอสที่ปลูกอยู่มาก จะแห้งไปเอง ไม่อาจคงอยู่ได้
.
กระถางควรใช้กระถางโปรงแสง ไม่ต้องมีรูพรุนแบบกระถางกล้วยไม้ทั่วไป แค่มีรูก้นกระถางเค้าชอบ เพราะรากชอบไปก้นกระถางก่อนแล้วค่อยๆไปส่วนอื่นๆ(วนๆอยู่ผิวกระถาง ) ถ้ากระถางใสๆจะเห็นง่ายมากๆ
.
กรณีต้นใหญ่หากระถางใสๆไม่ได้จริงๆ ก็หาโหลพลาสติกเจาะรูเอา เพื่อ ใช้เป็นกระถาง
.
ส่วนดินมะยมอัดเม็ดไม่แนะนำ ราขึ้นง่ายมากๆ เอาแบบเมืองนอกไม่ได้เพราะเค้าอากาศเย็นจึงนิยมใช้ดินเผาเม็ดมะยม เพราะราเกิดยากอากาศเค้าเย็นกว่าแห้งกว่า กากมะพร้าวก็ไม่แนะนำเพราะอยู่ในกระถางอับชื้นจะเกิดราได้ง่าย จึงไม่ควรใช้กาบมาะพร้าวเป็นเครื่องปลูก
.
ปุ๋ยผสมน้ำดีสุด ไม่ควรใช้อ๊อดโมคอส เพราะรากจะใหม้เอาง่ายๆ ยกเว้นสูตร 11-11-11 ซึ่งค่าปุ๋ยไม่แรงเกิน
.
การรดน้ำ ถ้าเครื่องปลูกหมาดๆใกล้แห้งรดได้เลย ไม่ต้องรอเป๊ะ 5-7วัน ให้ดูสภาพแวดล้อมที่เลี้ยงเป็นหลัก บางที่ร้อนมาก 3 วันเครื่องปลูกก็แห้งแล้ว ต้องรด
.
ส่วนเครื่องปลูกไม่อมความชื้นหรือความชื้นน้อยก็รดบ่อยๆหน่อย ไม่งั้นรากจะแห้ง ทิ้งใบใบเหลือง
.
ส่วนโรคเน่ายอดเป็นโรคฮิตต้องคอยระวังไม่ให้น้ำขังยอดใบหรือโคนใบบนวิธีรด น้ำที่ถูกวิธีคือรดที่เครื่องปลูกไม่ควรไปโดนใบ ยกเว้นพ่นยากันเชื้อรา
.
โรคใบเหลือง บางที่เกิดจากรากเสียทำให้ทิ้งใบร่างเพื่อลดใบทิ้งใบให้พอกับอาหารที่เค้ามี คล้ายๆช้างออกดอกจะทิ้งใบร่างๆก่อนเพราะเอาอาหารไปเลี้ยงช่อดอกมาก จึงทำให้ต้องสลัดใบทิ้ง
.
ส่วนโรคกล้วยไม้ฟาแลนเค้าก็เป็นได้เกือบทุกโรคที่กล้วยไม้อื่นเป็น แก้ไปตามอาการที่เจอ แต่ถ้าพ่นยากันเชื้อรากันแมลงสม่ำเสมอก็หายห่วงไปได้เปาะ 1 แต่ก็ไว้ใจไม่ได้ ถ้าใบมีแหว่งเสียจากหนอนผีเสื้อตัดรอบใบเผลอที่โดนกัดแล้วทาปูนแดงบางๆ(ย้ำ ว่าบางๆพอมากไปปูนเข้าใบใบเสียทั้งใบเน้อ)
.
ปล.ยาวเนอะ ส่วนพวกเขากวางหรือฟาแลนใบกลม อันนั้นรากไม่ต้องการความชื้นเท่าฟาแลน รากต้องการความชื้นบ้างพอๆกับหวาย จึงมักจะมัดกับตอหรือลงกระถางที่มีกากมะพร้าวเน้อ