วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2559

40 เชื้อแบคทีเรียบาซิลลัส ทูริงเยนซีส Bacillus Thuringiensis (BT) กำจัดหนอน

 ชื้อบาซิลลัส ทูริงเยนซีส Bacillus Thuringiensis (BT) บี ที

 เป็นเชื้อ แบคทีเรีย ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ พบอยู่ทุกหนทุกแห่งทั่วโลก ถูกค้นพบครั้งแรกใน ประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 1901 ในรูปสปอร์ของเชื้อแบคทีเรีย

 Bacillus thuringiensis ที่พบตามธรรมชาติในดิน และ ได้พบว่าหนอนกินใบพืชบางชนิด (ตัวอ่อนของผีเสื้อ กลางวันและผีเสื้อกลางคืน) ตายเมื่อกินใบพืชหรือส่วน อื่นๆของพืช(ที่ถูกฉีดพ่นด้วยบีที)ในปริมาณเพียงเล็กน้อย ทั้งในน้ำ ดิน บนเศษพืช หรือบนต้นไม้

เชื้อแบคทีเรียบีทีที่มีอยู่เป็นพันๆ สายพันธุ์ มีพียงสองหรือสามสายพันธุ์เท่านั้นที่ได้ถูกนำมาผลิตเป็นสารชีวภัณฑ์กำจัด แมลง หรือจุลินทรีย์กำจัดแมลง ผลิตภัณฑ์ทางการค้าเหล่านี้ส่วนใหญ่ ประกอบด้วยผลึกโปรตีน และสปอร์ของเชื้อบีทีที่ มีชีวิต โดยใช้ชื่อการค้าต่างๆมากมาย ซึ่งมีบีทีอยู่สองสายพันธุ์ที่นิยมใช้ในการควบคุม หนอนศัตรูกะหล่ำปลี และหนอนศัตรูผักชนิดอื่น ๆ


 เชื้อ บี ที จัดเป็นจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ สามารถนำมาใช้กำจัดแมลงศัตรูพืช และศัตรูมนุษย์ได้มากมายหลายชนิด เนื่องจากมีความเฉพาะเจาะจงสูง ในการทำลายเฉพาะแมลงเป้าหมายเท่านั้น

เชื้อแบคทีเรียบีทีที่มีอยู่เป็นพันๆ สายพันธุ์ มีพียงสองหรือสามสายพันธุ์เท่านั้นที่ได้ถูกนำมาผลิตเป็นสารชีวภัณฑ์กำจัด แมลง หรือจุลินทรีย์กำจัดแมลง

ผลิตภัณฑ์ทางการค้าเหล่านี้ส่วนใหญ่ ประกอบด้วยผลึกโปรตีน และสปอร์ของเชื้อบีทีที่ มีชีวิต โดยใช้ชื่อการค้าต่างๆมากมาย ซึ่งมีบีทีอยู่สองสายพันธุ์ที่นิยมใช้ในการควบคุม หนอนศัตรูกะหล่ำปลี และหนอนศัตรูผักชนิดอื่น ๆ
---------------------------------------

เชื้อบีที (Bt) ทำงานอย่างไร?

สารเคมีฆ่าแมลงส่วนใหญ่ มักจะถูกตัวแมลงตาย แต่สำหรับเชื้อ บี ที นั้น แมลงจะต้องกินเชื้อ บี ที เข้าไป จึงจะออกฤทธิ์ทำลายแมลงได้ โดยทั่วไป เชื้อ บี ที จะทำลายเฉพาะตัวอ่อนของแมลงเท่านั้น เช่น ตัวหนอน หรือ ลูกน้ำยุง จะไม่ทำลายศัตรูพืชระยะที่เป็นไข่ หรือตัวเต็มวัย ยกเว้น บี ที บางสายพันธุ์ ที่สามารถทำลายได้ทั้ง ตัวอ่อน และตัวเต็มวัยของด้วงปีกแข้งบางชนิด

 เมื่อแมลงกินสารพิษและสปอร์เข้าไปในกระเพาะ น้ำย่อยในกระเพาะมีคุณสมบัติเป็นด่างค่อนข้างสูง จะย่อยสารพิษ ซึ่งอยู่ในรูป protoxin ให้เป็น active toxin ( สารพิษแท้จริง ) ซึ่งจะเข้าทำลายเซลล์เยื่อบุผนังกระเพาะอาหาร ทำให้ระบบการย่อยอาหาร และระบบทางเดินอาหาร ถูกทำลาย ทำให้แมลง ไม่สามารถกินอาหารได้ เคลื่อนไหวช้าลง ในที่สุด แมลงจะตาย

ขณะเดียวกัน เมื่อผนังของกระเพาะอาหารถูกทำลาย ทำให้ระดับความเป็นกรด-ด่าง ภายในลำตัวของแมลงเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้แมลงเป็นอัมพาต ขากรรไกรค้าง ไม่สามารถกินอาหารได้ สปอร์ของ บี ที สามารถไหลผ่านจากรูแผลบนผนังกระเพาะ เข้าสู่ระบบเลือดของแมลง จะขยายทวีจำนวนมากขึ้น ทำให้โลหิตเป็นพิษ แมลงจะตายในเวลาต่อมา

โดยทั่วๆไป เชื้อ บี ที จะทำลายแมลง โดยใช้ระยะเวลา 2 – 3 วันทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ ขนาดของแมลง และปริมารเชื้อที่กินเข้าไปด้วย 


ก่อนอื่นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจว่าเชื้อบีทีไม่ได้ออกฤทธิ์เหมือน สารเคมีกำจัดแมลงศัตรูพืชที่ใช้กันอยู่ทั่วๆไป เชื้อบีทีสามารถควบคุม แมลงศัตรูพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ไม่ได้มี ฤทธิ์แบบถูกตัวตาย หรือ “น๊อกดาว”

 คือศัตรูพืช ไม่ได้ถูกฆ่าตายในทันทีที่ฉีดพ่น แมลงจะต้องกินส่วนของพืชที่เคลือบด้วย เชื้อบีทีในปริมาณที่มากพอที่จะถูกฆ่าได้ เมื่อบีทีจำนวนมากพอถูกกิน พิษในผลึกโปรตีนจะไปทำให้ส่วนของ ปากและช่องท้องของหนอนเป็นอัมพาต

แมลงศัตรู พืชเริ่มมีการเคลื่อนไหวที่ช้าลง และหยุดกินอาหารในเวลาไม่กี่ นาทีถึงหนึ่งชั่วโมงหลังจากที่ได้รับเชื้อเข้าไปมากพอ พิษ ดังกล่าวจะทำลายผนังช่องท้องของแมลงภายในหนึ่งชั่วโมงทำให้สปอร์ของเชื้อบี ทีและชิ้นส่วนในช่องท้องแมลงหลุดลอด เข้าไปในส่วนที่เป็นช่องว่างของร่างกายแมลงทำให้แมลงตาย

เนื่องจากขาดอาหาร และอาการเลือดเป็นพิษ และ/หรือ osmotic shock ภายใน 24 – 48 ชั่วโมง หนอนบางตัวที่ตายเนื่องจากเชื้อบีทีอาจมีสีซีด หรือเปลี่ยนเป็นสีดำ หนอนที่ตายแล้วมักจะเหี่ยวย่น และร่วงหล่นลงจากต้นพืชไม่สามารถสังเกตเห็นได้โดยง่าย

เหมาะที่จะใช้ ในแปลงปลูกผักปลอดสารพิษ และ ใช้ทดแทนสารเคมีที่ราชการประกาศห้ามใช้ เช่น โคโนโครโตฟอส เมวินฟอสและเอ็นโดซัลแฟน เพราะปลอดภัยต่อแมลงศัตรูธรรมชาติ เช่น แมลงห้ำ แมลงเบียน ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์และปลาตลอดจนไม่มีพิษตกค้างในพืชและ สิ่งแวดล้อมปลอดภัยต่อผู้ใช้และผู้บริโภค

--------------------------------------

คุณสมบัติ

- ป้องกันและกำจัดหนอนของแมลงศัตรูพืช เช่น หนอนใยผัก
- หนอนกระทู้หอม(หนอนหนังเหนียว) ฯลฯ
- หนอนเจาะสมอฝ้าย หนอนกระทู้ผัก
- หนอมกินใบ หนอนแปะใบองุ่น
- หนอนคืบต่าง ๆ หนอนกอข้าว
- หนอนบุ้งเล็ก กินใบมะพร้าวและปาล์มน้ำมัน
- หนอนเจาะผลมะเขือเทศ
- หนอนกินใบสัก
- หนอนหญ้าแมวในปาล์มน้ำมัน
- หนอนกระทู้ผัก หนอนกระทู้หอมในผักต่าง ๆ
- หนอนเจาะเมล็ดทุเรียน
- หนอนเจาะขั้วลิ้นจี่
- หนอนแปะใบส้ม และ
- หนอนม้วนใบข้าว
----------------------------------------------------------------
หลักการและเทคนิคการใช้เชื้อ บี ที

เชื้อ บี ที เป็นสิ่งมีชีวิตที่จะถูกทำลายโดยรังสีอุลตร้าไวโอเลต .(UV) จากแสงแดด ดังนั้นจึงควรฉีดพ่นตอนเย็นแดดอ่อนๆ จะช่วยยืดอายุเชื้อ บีทีชีวภาพ บนต้นพืชให้มีประสิทธิภาพอยู่ได้นาน แมลงศัตรูพืชบางชนิด เช่น หนอนใยผัก หนอนคืบกะหล่ำ มักอาศัยกัดกิเน อยู่ด้านล่างของใบ ดังนั้นการพ่นให้ครอบคุลมบริเวณส่วนบนและล่างของใบพืชด้วยจะจะสามารถควบคุม หนอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปรับหัวฉีดเครื่องพ่นเชื้อ บี ที ให้ละอองเล็กที่สุดจะช่วยใหละอองเชื้อเกาะผิวใบได้ดี หรือผสมสารจับใบ

ควรฉีดพ่นเชื้อ บี ที เมื่อสำรวจพบหนอนตัวเล็ก จะให้ผลในการควบคุมดีกว่าในช่วงที่พบหนอนตัวใหญ่ ไม่ควรผสมเชื้อ บี ที กับสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช ในคราวเดียวกัน เนื่องจากสารฯ บางชนิดอาจะทำให้เชื้อ บีทีชีวภาพ เสื่อมประสิทธิภาพลงได้

เนื่องจากเชื้อบีทีชีวภาพออกฤทธิ์ช้า ใช้เวลา 2 - 3 วัน หนอนจึงจะตาย ดังนั้นการใช้อัตราสูงกว่าคำแนะนำไม่ช่วยให้หนอนตายเร็วขึ้น การใช้อัตราต่ำกว่าคำแนะนำนจะส่งผลให้แมลงไม่ตายและทำความเสียหายแก่ผลผลิต จึงใช้เชื้อ บีทีตามอัตราที่แนะนำ เมื่อพบการระบาดของหนอนรุนแรง ควรฉีดพ่นตามอัตราที่แนะนำโดยการพ่นติดต่อกัน 2 ครั้ง ระยะห่าง 3 - 4 วัน จะช่วยลดความเสียหายได้ดีกว่าการพ่นเพียงครั้งเดียว

 อัตราการใช้ เชื้อ บีที 50-80 กรัม ผสมน้ำ 20 ลิตร ทิ้งไว้ 24-36 ชั่วโมงจึงนำมากรองแล้วฉีดพ่น

   ข้อควรระวัง
- ไม่ควรใช้ เชื้อรา บาซิลลัส ทูริงเยนซิส ร่วมกับสารปราบศัตรูพืช
- หลังฉีดควรงดใช้สารปราบศัตรูพืชทุกชนิด
- ควรฉีดช่วงเย็นป้องกันเชื้อถูกทำลาย

-----------------------------------------------------------
การขยายเชื้อบาซิลลัส BT




การหมักเชื้อด้วยน้ำมะพร้าว เพื่อการฉีดพ่น




วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2559

39 แบคทีเรียบาซิลลัส ซับทีลิส


เชื้อแบคทีเรียบาซิลลัส ซับทีลีสBS(Bacillus subtilis)




คุณสมบัติ    ให้ผลดีในการป้องกันและควบคุมโรครากเน่า-โคนเน่าในทุเรียนที่เกิดจากเชื้อไฟทอฟเทอร่า พัลมิวอร่า  โดยสามารถใช้ผสมน้ำฉีดพ่น  หรือทาแผลก็ได้ สามารถพ่นได้ทั้งในช่วงดอกบาน เพื่อป้องกันเชื้อราเข้าดอก และไม่ทำให้ดอกไหม้หรือร่วง  และไม่มีผลต่อแมลงผสมเกสร   

 เชื้อแบคทีเรียบาซิลลัสซับทีลิส  ใช้สำหรับป้องกันและกำจัดโรคพืชจากเชื้อแบคทีเรีย  สาเหตุของโรคพืชได้โดยตรง  สามารถปรับตัวและทนต่อสภาพแวดล้อมที่แปรปรวนโดยการสร้างสปอร์และทนต่อสภาพ อากาศร้อนชื้นได้ดี  นอกจากนี้ยังผลิตสารจำพวก  Toxic  melabolite  บางชนิดที่มีประโยชน์ในการนำมาใช้กระตุ้นการเกิดความต้านทานของพืชต่อเชื้อ ราและเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคพืช

มีคุณสมบัติสำหรับป้องกันกำจัดโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา สาเหตุ และเชื้อแบคทีเรียสาเหตุของโรคพืชได้หลายชนิด  และยังเป็นจุลินทรีย์ ที่ไม่เป็นพิษต่อมนุษย์ สัตว์ และไม่มีพิษตกค้างต่อสิ่งแวดล้อม

ใช้ควบคุมโรคพืชได้อีกหลายชนิด  อาทิเช่น  โรคกุ้งแห้ง (แอนแทรคโนส) โรครากเน่า โคนเน่า กิ่งเน่า โรคผลเน่า  โรคใบติด,โรคราสีชมพูเข้ากิ่งโรครากเน่า-โคนเน่า โรคใบจุด ใบแห้ง โรคกาบใบเน่า โรคกาบใบแห้ง โรคไหม้ 
อัตราที่ใช้ฉีดพ่นสำหรับชนิดผงผสมน้ำ 

 คือ 30-50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นทุกๆ 5-7 วัน และพ่นได้ในทุก ระยะการเจริญเติบโตของพืช  ควรพ่นในช่วงเย็นเพื่อป้องกันเชื้อถูกทำลายด้วยยูวีในแสงแดด  สามารถใช้ผสมฉีดพร้อมกันกับชีวภัณฑ์กำจัดศัตรูพืชอื่นๆ  ตลอดจนปุ๋ยทางใบ ฮอร์โมน และธาตุอาหารเสริมต่าง ๆ ผสมสารจับใบเพื่อเพิ่มประสิทธ์ภาพได้

การนำเชื้อบีเอสสดๆจากการขยายเชื้อไปใช้ ไปใช้
นำ เชื้อบาซิลัส ซับทีลีสไปผสมน้ำในอัตราส่วน 1 : 5 (เชื้อที่ทำการเพาะเลี้ยงไว้ 1 ส่วน ต่อ น้ำสะอาด 5 ส่วน) ราดรองก้นหลุมก่อนลงปลูก หรือใช้ราดบริเวณโคนต้น เพื่อป้องกันเชื้อแบคทีเรียสาเหตุโรคเหี่ยว และโรคเน่าของพืช


ข้อแนะนำ  ควรใช้ให้หมดภายใน 15 วัน เพื่อประสิทธิภาพของเชื้อสด


---------------------------------------------------- 
คุณสมบัติของเชื้อ บาซิลลัส ซับทีลีส (บีเอส) 


1.สามารถเข้าทำลายโดยตรงทั้งยังสามารถสร้างสารปฏิชีวนะได้หลายชนิด  และสามารถแก่งแย่ง      ธาตุอาหารได้ดีกว่าจุลินทรีย์อื่น ๆในสภาพแวดล้อมที่ขาดแคลน
 
2.เป็นเชื้อจุลินทรีย์ที่ปกติมักจะพบอาศัยอยู่ภายในพืช โดยไม่ก่อให้เกิดผลเสียหายต่อพืชที่อาศัยอยู่
 
3.มีความสามารถในการปรับตัวและทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่แปรเปลี่ยน และวิกฤต  โดยการสร้าง  สปอร์ และทนต่อสภาพอากาศร้อนชื้นได้ดี

4.บีเอส มีความสามารถในการผลิตสารพวก Toxic metabolite 
บางชนิดที่มีประโยชน์ในการนำมา      ใช้กระตุ้นการเกิดความต้านทานของพืชต่อเชื้อสาเหตุโรคพืชที่เข้าทำลา

-----------------------------------------------------------


การขยายบาซิลลัสซับทีลีส  เพื่อเพิ่มปริมาณเชื้อทำได้หลายวิธีเช่น 

1. ขยายเชื้อบาซิลลัส ซับทีลิส ด้วยมะพร้าวอ่อน ใช้มะพร้าวอ่อน 1 ผล เจาะเปิดฝาแง้มพอใส่เชื้อลงไปได้ ใส่เชื้อบาซิลลัส-ซับทีลิส 1 ช้อนชา ปิดฝาทิ้งไว้ 1-2 วัน นำมาผสมน้ำได้ 20 ลิตร
         

2. ขยายเชื้อบาซิลลัส ซับทีลิสด้วยน้ำมะพร้าวแก่จากตลาด นำน้ำมะพร้าวแก่จากตลาดมาต้มให้เดือด 5 นาที ช้อนฟองทิ้ง ตั้งให้เย็น ใส่เชื้อบาซิลลัส ซับทีลิส 5 ช้อนชา ต่อน้ำมะพร้าว 15 ลิตร (ถ้าน้ำมะพร้าวไม่พอเติมน้ำเปล่าจนได้รวม 15 ลิตรก่อนต้ม ) ให้อากาศแบบที่ใช้ในตู้ปลา 24 ชั่วโมง,นำไปผสมกับน้ำได้รวม 100 ลิตร สำหรับฉีดพ่น
         

3. ขยายเชื้อบาซิลลัส ซับทีลิสด้วยนมข้นหวานและน้ำตาลทราย ใช้น้ำ 15 ลิตร เติมนมข้นหวาน 1 กระป๋อง น้ำตาลทราย 3 ช้อน เชื้อบาซิลลัส ซับทีลิส 5 ช้อนชา ให้อากาศแบบตู้ปลา 24 ชั่วโมง สามารถใช้ผสมน้ำได้ 100 ลิตรหรือ 5 ปี๊ป
          

4. ขยายเชื้อบาซิลลัส ซับทีลิสด้วยไข่ไก่สด ใช้น้ำ 15 ลิตร ไข่ไก่ 5 ฟอง เชื้อบาซิลลัสซับทีลิส 5 ช้อนชา สเม็คไทต์ 5 ขีด (500 กรัม) น้ำมันพืช 1.5-2 ช้อนชา เป่าอากาศแบบตู้ปลา 24 ชั่วโมง ใช้ผสมน้ำ 5 ปี๊ป ( 100 ลิตร )
          

5. ขยายเชื้อบาซิลลัส ซับทีลิสด้วยนมกล่อง ใช้นมกล่องพาสเจอร์ไลท์ตามท้องตลาดทั่วไป 1กล่อง (250ซี.ซี.) เปิดฝาออกให้เทเชื้อใส่ได้ เติมเชื้อบาซิลลัส-ซับทีลิส 1 ช้อนชา หมักทิ้งไว้ 24ชั่วโมงมาผสมน้ำได้ 20 ลิตร

----------------------------------

 อุปกรณ์ในการขยายเชื้อ

1. หัวเชื้อ Bs. (เชื้อแห้งชนิดผง)  60 กรัม

2. ถังหมัก                             150 ลิตร

3. ไข่ไก่                                   5 ฟอง

4. น้ำตาล                                 5 กิโลกรัม

5. น้ำเต้าหู้                             0.5 ลิตร

6. ปั๊มลมให้อากาศ


------------------


วิธีการขยายเชื้อ

1. เติมน้ำเปล่าลงในถังหมัก จำนวน 100 ลิตร

2. ละลายน้ำตาลกับน้ำในถัง จากนั้นใส่น้ำเต้าหู้ลงไปคนให้เข้ากัน

3. ตีไข่แล้วเติมลงไปในถัง คนให้เข้ากัน

4. ใส่หัวเชื้อผงของ Bs. ประมาณ 3 ช้อนโต๊ะ

5. คนให้เข้ากัน ต่อปั๊มลมเพื่อเติมอากาศลงไป หลังจากนั้น 3 – 5 วัน สามารถนำไปใช้ได้



 

 

38 เชื้อราเขียวเมธาไรเซียม

เชื้อราเขียว เมธาไรเซียม

เมตาไรเซียม (Metarhizium anisopliae) เป็นจุลินทรีย์ชนิดเชื้อราที่มีคุณสมบัติในการควบคุมทำลายแมลงศัตรูพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ กำจัดปลวก และ ด้วง สามารถกำจัด ปลวก และ ด้วง ระยะตัวอ่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำลายแมลงได้หลากหลายชนิด สามารถทำลายด้วงได้ทุกระยะ ทำลายหนอนได้มากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์


โดยเมื่อเชื้อราเมตาไรเซียม สัมผัสหรือติดไปกับตัวแมลง และสภาพแวดล้อมเหมาะสม เชื้อจะเจริญเติบโตในตัวแมลง และเพิ่มปริมาณ ทำให้แมลงเคลื่อนไหวช้าลง ไม่กินอาหาร และตายในที่สุด แมลงที่ตายลำตัวจะแข็งและมีเชื้อราสีเขียวขึ้นตามตัว เห็นได้ชัด


เมธาไรเซียม (Metharhizium) เป็นเชื้อราตามธรรมชาติที่เป็นศัตรูกับแมลงหลากหลายชนิด หนึ่งในนั้นคือปลวก หลักการทำงานของเมธาไรเซียมนี้คือจะสร้างเส้นใยเข้าไปทำลายอวัยวะต่างๆ ภายในตัวปลวก ทำให้ตัวมันเองตายในที่สุด เท่านั้นยังไม่พอตามธรรมชาติแล้วปลวกมักจะมีการติดต่อกันเองด้วยวิธีการเลีย ตัว ฉะนั้นหากมีตัวใดตัวหนึ่งติดเชื้อแล้วมันจะลามเป็นลูกโซ่ไปทั้งรังทำให้ปลวก ตายเป็นจำนวนมาก

ลักษณะรูปร่าง
 
ลักษณะเชื้อราเป็นรูปทรงกระบอก เส้นใยมีผนังกั้นเป็นปล้องๆ ไม่มีสี เส้นใยจะแผ่ขยายเจริญเติบโตสร้างสปอร์ (conidia) เป็นรูปยาวรีคล้ายเมล็ดข้าว เป็นลูกโซ่ต่อกันตรงรอยคอคอด เราเรียกว่า conidium แต่ละ conidium ที่เกิดใหม่จะมีสีขาว ต่อมาจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ จึงเป็นชื่อเรียกของราชนิดนี้


คุณสมบัติของเชื้อราเมธาไรเซียมคล้ายคลึงบิวเวอร์เรีย แต่กำจัดแมลงบางชนิดหรือหนอนบางชนิดได้ดีกว่าเร็วกว่า

-------------------------------------------------

วิธีการใช้

สามารถใช้ในรูปผงโรย หรือ ผสมน้ำฉีดพ่น
ก่อนใช้ฉีดพ่นหลักการเหมือนบิวเวอร์เรียทุกอย่างคือแช่น้ำ กรองเอากากออก พักเชื้อก่อนแล้วผสมน้ำพร้อมฉีดพ่น

 100 กรัมผสมน้ำ 20 ลิตร

การใช้กำจัดปลวก

ใช้ผงจุลินทรีย์ เมตตาไรเซียม โรยผงสปอร์ให้ทั่วบริเวณทางเดิน หรือบริเวณที่เห็นปลวกเข้าทำลาย หรืออาจใช้เสียมหรือจอบขุดเจาะรังแล้วโรยผงเชื้อ เมตตาไรเซียมลงไป ปลวกจะเดินผ่านและสัมผัสกับเชื้อจุลินทรีย์ เมตตาไรเซียม และนำไปสู่การแพร่กระจายโดยการสัมผัสและเลียทำความสะอาดให้กันและกัน สปอร์ของเชื้อจุลินทรีย์ เมธาไรเซียม จะค่อย ๆ แผ่ขยายลุกลามไปจนทั่วรังปลวก เมื่อสปอร์ของจุลินทรีย์เมตตาไรเซียมแผ่ขยายและได้รับอุณภูมิความชื้นที่ เหมาะสมซึ่งมีอยู่ในในรังของปลวก ก็จะเจริญเติบโตออกมาและทำลายตัวปลวก






 

วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2559

37 เชื้อราบิวเวอรเรีย ใช้ในการกำจัดแมลงศัตรูพืชได้หลายชนิด

เชื้อราบิวเวอร์เรีย ( Beauveria bassiasna) เชื้อรากำจัดแมลงโดยธรรมชาติ
เป็นเชื้อจุลินทรีย์สายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรคกับแมลง ซึ่งสามารถทำลายแมลงได้หลายชนิด

กลไกการเข้าทำลายแมลงของเชื้อราบิวเวอร์เรีย คือ เมื่อสปอร์ของเชื้อราสัมผัสกับผิวของแมลง ในสภาพความชื้นที่เหมาะสม (ความชื้นสัมพัทธ์ 50 % ขึ้นไป) จะงอกเส้นใยแทงผ่านผิวหนังเข้าไปในลำตัวแมลง

และขยายจำนวนเจริญอยู่ภายในโดยใช้เนื้อเยื่อของแมลงเป็นอาหาร แมลงจะตายในที่สุด ภายในระยะเวลาต่างๆ ขึ้นอยู่กับชนิด ขนาด และวัยของแมลง โดยทั่วไปประมาณ 3 – 14 วัน

ประโยชน์ของเชื้อราบิวเวอรเรีย

บิวเวอรเรีย เป็นเชื้อจุลินทรีย์ที่จัดเป็นพวก //เชื้อราปรสิตกำจัดแมลง//โดยสามารถทำลายแมลงได้หลากหลายชนิด เช่น แมลงหวี่ขาว(Whitefly) , เพลี้ยไฟ (Thrips) , ไรแดง (Red spider mite) , เพลี้ยอ่อน (Aphids) ,ไรขาว, เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ,เพลี้ยจักจั่น ,เพลี้ยอ่อนส้ม , เพลี้ยไก่แจ้ , บั่ว ,หนอนห่อใบหนอนผีเสื้อต่าง ,แมลงวัน ,ยุง ,ด้วง ,เพลี้ยจักจั่น ,แมลงค่อมทอง , และ นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าสามารถกำจัดปลวก และมดคันไฟได้ ทำให้มดและปลวกตายยกรังได้ ฯลฯ

เชื้อราบิวเวอร์เรีย เป็นเชื้อจุลินทรีย์ที่มีความปลอดภัยในการใช้งานสูง ไม่เป็นอันตรายต่อคนและสัตว์เลี้ยง จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมและกำจัดแมลง

ปล.แต่บิ วเวอรเรียไม่อาจกำจัดหนอนหรือแมลงบางตัว จึงอาจต้องใช้ เมธาไรเชี่ยมซึ่งเป็นเชื้อราเขียวกำจัดแมลงด้วย (แล้วแต่กรณีว่าท่านเจอแมลงศัตรูพืชอะไรบ้างถ้าบิวเวอรเรียเอาอยู่ก็อยู่เอา ไม่อยู่ก็เมธาไรเซียมเสริมเข้าไป อ่อใช้ทีละอย่างเน้อ เพราะมันจะแย้งที่อยู่กัน )

---------------------------------------

 หลักการทำงานของเชื้อบิวเวอร์เรีย

เนื่องจากสปอร์ของเชื้อราบิวเวอร์เรียที่ตกที่ผนังลำตัวแมลง
เข้าสู่ตัวแมลงทางผนังลำตัว รูหายใจ บาดแผลบนผนังลำตัว
เมื่อมีสภาพที่เหมาะสมสปอร์จะงอกแทงทะลุผ่านลำตัวแมลงเข้าไปไชช่องว่างภายในลำตัวและเจริญเติบโตเป็นเส้นใยท่อนสั้นๆ ทำลายเซลล์เม็ดเลือดในตัวของแมลง
ทำให้แมลงเป็นอัมพาตและตายไปในที่สุด หลังจากแมลงตายแล้วเชื้อราจะสร้างสปอร์แพร่กระจายได้ตามธรรมชาติ สามารถทำลายแมลงได้ทุกระยะ


ความชื้นเหมาะสมกับการงอก สปอร์จะแทงทลุผิวหนังลำตัว เชื้อราจะงอกสู่ช่องว่างลำตัวแมลงเจริญเติบโตสร้างเส้นใยมากมายทำลายแมลง
เมื่อแมลงตาย เส้นใยจะแทงผ่านผนังลำตัวแมลงออกสู่ภายนอกตัวแมลง

สปอร์จะแพร่กระจายไปตามลม ฝนหรือติดกับตัวแมลง เชื้อราจึงสามารถขยายพันธุ์ต่อได้ และเมื่อสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมก็จะทำลายแมลงศัตรูต่อไป

ลักษณะอาการของแมลงที่ถูกเชื้อราบิวเวอเรียเข้าทำลาย
แมลงที่ถูกทำลายจะแสดงอาการของการเป็นโรคคือ เบื่ออาหาร กินน้อยลง อ่อนเพลียและไม่เคลื่อนไหว
สีผนังลำตัวแมลงมักจะเปลี่ยนไป ปรากฎจุดสีดำบนบริเวณที่ถูกเชื้อราเข้าทำลาย
พบเส้ยใย และผงสีขาว ของสปอร์ปกคลุมตัวแมลงที่ถูกเชื้อราเข้าทำลาย

 ---------------------------------------------
การใช้เชื้อราบิวเวอร์เรียควบคุมศัตรูพืช

เนื่องจากเชื้อค่อนข้างอ่อนแอต่อแสงแดด และอุณหภูมิสูง
จึงควรใช้เชื้อราบิวเวอร์เรียในช่วงเวลาเย็นถึงค่ำ
ก่อนฉีดต้องกรองเอากากที่หมักเชื้อให้เรียบร้อยสะก่อนเพื่อไม่ให้อุดตัดหัวพ่นหรือตัวกรองหัวพ่น
โดยการเอาผ้ามุ้งหรือผ้าขาวบางหรือผ้าที่ใช้ทำกระชอนช้อนปลามากรองหรือผ้าอื่นๆเพื่อกรอกเอากากของการเพาะเชื้อออก

 นำเชื้อราบิวเวอร์เรีย 1-2 กก./น้ำ 20 ลิตร แบ่งออกเป็น 2 ส่วน โดยนำน้ำ 5 ลิตร

ขยำก้อนเชื้อกับน้ำให้สปอร์เชื้อราหลุดจากเมล็ดข้าวโพดแล้วกรอง ด้วยผ้าบางๆ แล้วจึงนำไปผสมกับน้ำอีก 15 ลิตร ผสมกับสารจับใบ(ตามฉลาก) คนให้เข้ากัน นำไปฉีดพ้นในช่วงเช้าตรู่หรือเย็นแดดอ่อน(ช่วงเย็นดีที่สุดเมื่อพ่นไปแล้ว
เชื้อรามีช่วงเวลาฟื้นตัวนานก่อนที่จะพบกับอากาศร้อนช่วงกลางวันวันถัดไป) ควรปรับหัวฉีดให้พ่นเป็นฝอยละเอียดจะทำให้ได้ผลดีและได้พื้นที่เพิ่มขึ้น และควรติดตามตรวจสอบเมื่อฉีดพ่นได้ 2-3 วัน

ข้อควรระวังในการใช้ แม้นว่าจะปลอดภัยจับต้องได้แต่อยากให้ สวมถุงมือ ปิดปาก ปิดจมูก เหมือนกับใช้สารเคมีทั่วไปเพื่อป้องกันอุบัติเหตโดยไม่ตั้งใจ เช่นเผลอสูดดมเข้าไปจำนวนมาก หรือเข้าหู เข้าปาก อาจทำให้ป่วยเล็กๆน้อยๆได้ เช่นหูมีเชื้อราอาจจะคันหูได้ หรือปากมีเชื้อราตกค้างทำให้ท้องเสียได้ (แต่น้อยมากที่จะเกิดป้องกันไว้ก่อนก็ดีครับรู้ว่าปลอดภัยแต่อะไรๆมันก็ไม่แน่)

ถ้าจะให้ดีควรแยกเครื่องพ่นสำหรับบิวเวอร์เรียจากสารเคมีฆ่าเชื้อราเพราะยาฆ่าเชื้อราติดหลงเหลืออยู่ในถังพ่น หลีกเลี้ยงใช้ร่วมกับ เชื้อราไตรโครเดอรม่าด้วย เพราะมันจะกินเชื้อราบิวเวอรเรีย ซึ่งถ้าติดหลงเหลืออยู่ในถังอาจทำให้ประสิทธิ์ภาพลดลงหรืออาจไม่ได้ผล

หรือไม่มีเครื่องพ่นหลายๆตัวก็ควรล้างเครื่องฉีดพ้นที่เคยพ่นสารเคมีฆ่าเชื้อราหรือเชื้อราไตรโครเดอรม่าให้สะอาดโดยอาจล้างหลายๆน้ำเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีตกค้าง

 ระหว่างที่ฉีด ให้เขย่าถังฉีดนบ้างเพื่อไห้เชื้อกระจายอย่างสม่ำเสมอในถัง และควรปรับหัวฉีดให้พ่นฝอยละเอียด จะฉีดได้ผลดีและได้พื้นที่เพิ่มขึ้น ควรฉีดเหนือลม จะได้ควบคุมการฉีดพ่นได้ดีกว่า
ใช้สารจับใบร่วมด้วยจะทำให้เพิ่มประสิทธิภาพได้มากขึ้นเพราะจะเกาะอยู่บนพืชนานขึ้นและทำให้โดนตัวแมลงที่หลบอยู่ง่ายขึ้นนั้นเอง 

 การใช้เชื้อราบิวเวอร์เรียในช่วงฤดูแล้ง หรืออากาศแห้งแล้ง อาจจำเป็นต้องเพิ่มความชื้นโดยการให้น้ำ หรือพ่นละอองน้ำ ก่อนและหลังการใช้ และก่อนนำเชื้อราไปใช้ควร นำเชื้อราตามอัตราส่วนที่ต้องการไปแช่น้ำอย่างน้อย 4 ชั่วโมงแต่ไม่ควรเกิน 24 ชั่วโมง และเพิ่มอาหารของเชื้อด้วยนมข้น /น้ำหวาน / กากน้ำตาล เพื่อให้เชื้อมีปริมาณและประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น สามารถทำให้แมลงตายได้ภายใน 1 – 2 วัน

 เชื้อราบิวเวอร์เรียสามารถทำลายแมลงได้หลายชนิดมากๆ รวมถึงแมลงที่มีประโยชน์ศัตรูธรรมชาติของแมลงศัตรูพืชด้วย ถ้ามีแมลงที่กินแมลงทำลายพืชผลอยู่มาก ก็ควรงด หรือชะลอการฉีดออกไป ให้ธรรมชาติจัดการ คือปล่อยให้แมลงทำลายแมลงนั้นเอง คือห่วงโซ่ของอาหารแมลงนั้นเอง
----
 เทคนิคการวางเชื้อแทนการฉีดพ่น ใส่เชื้อราบิวเวอร์เรียในกระบอกหรือขวดน้ำที่ตัดเป็นกระบอก สำหรับใส่น้ำที่มีเชื้อราบิวเวอร์เรียเมื่อ ตัดและทำกระบอกได้ทรงตรงตามที่ต้องการแล้วนำเชือกมาผูกกับเสาหรือตะขอ หรือลวดสำหรับแขวน สูงประมาณครึ่งเมตร ตั้งให้ห่างกัน 10-20เมตร(แล้วแต่การระบาดของแมลงถ้าระบาดมากก็วางชิดหน่อยระบาดน้อยก็วางห่างหน่อย)   สำหรับการใช้กระบอก ให้ตัดเหลือพอที่จะเจาะรูสำหรับแขวนได้ หรือมีอะไรรองรับไว้ด้วยก็ได้ครับ 

และใส่น้ำที่มีเชื้อราไม่ควรเต็มควรเหลือเนื้อที่ปากกระบอกไว้ประมาณ 2 เซนเพื้อกันน้ำปลิวตกหมด จุดประสงค์คือ ให้ลมพัดพาแต่สปอร์ล่องลอยไปตกลงในพืชหรือเครื่องปลูกเปื้อนติดตัวแมลงศัตรูพืช และทำลายจนตายก่อนที่จะขยายพันธุ์โดยอาศัยตัวแมลงพร้อมกับขยายเจริญเติบโต ซึ่งเทคนิคนี้เป็นการเสริมนอกจากการฉีดพ่น หรือจะดัดแปลงใช้แบบอื่นเพื่อประสิทธิ์ภาพดียิ่งขึ้น

 -------------------------------------------------------

การผลิตเชื้อราบิวเวอร์เรีย หรือต่อเชื้อไว้ใช้



การบ่มเชื้อ นำไปเก็บไว้ในที่เย็นไม่โดนแดด แต่จะต้องให้ได้รับแสงสว่างอย่างน้อยวันละ 6 ชม.และอย่าให้ถูกความร้อน (สำหรับตนเองเอาไว้ในห้องน้ำ) ทิ้งไว้ 15 วันสังเกตเส้นใยสีขาวเดินรอบถุงจึงนำออกเก็บไว้ในที่เย็นไม่ให้โดนความร้อน ถ้าเป็นโรงเก็บรถหรือเก็บของจะต้องใช้วัสดุป้องกันไอร้อนกระทบกับก้อนเชื้อ ราบิวเวอร์เรียเสียหายได้
การเก็บรักษาเมื่อเชื้อเดินเต็มแล้ว ควรเก็บไว้ในที่แห้งและเย็น จะทำให้เก็บไว้ได้นานขึ้น



วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2559

36 ไตรโครเดอรม่าปราบเชื้อราชนิดอื่นๆ

ประโยชน์ของเชื้อรา ไตรโครเดอรม่า

ไตรโครเดอรม่า เป็นเชื้อราที่ปฏิปักษ์ต่อเชื้อราอื่นที่เป็นสาเหตุของโรคพืชหลายชนิด
โดยวิธีแทงรากเข้าสู่ภายในเส้นใยของเชื้อราโรคพืชแล้วแย่งกินอาหารของเชื้อราโรคพืช
รวมถึงการปล่อยเอนไซม์หรือสารปฎิชีวนะเพื่อทำลายและกินเชื้อราโรคพืชเป็นอาหาร นอกจากนี้พบว่าเชื้อราไตรโคเดอร์มา สามารถชักนำให้ต้นพืชสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคและโรคพืชต่างๆ ได้ดีขึ้นอีกด้วย

ไตรโคเดอร์มา เป็นจุลินทรีย์ที่กระตุ้นให้พืชสร้างภูมิคุ้มกันป้องกันโรค มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันและกำจัดโรคพืชที่เกิดจากเชื้อราที่สำคัญในประเทศไทย

///เช่น โรครากเน่า , โคนเน่า , โรคผลเน่าของทุเรียน พริกไทย พืชตระกูลส้ม , มะนาว , มะละกอ , สับปะรด และยางพารา ที่เกิดจากเชื้อรา ฟัยท้อพธอร่า ( Phytophthora) โรคกล้าเน่ายุบตายในพืชตระกูลแตง , มะเขือเทศ , มะละกอ , ถั่ว , พริก , ผักชนิดต่างๆ และไม้ดอกไม้ประดับ ที่เกิดจากเชื้อราพิธเทียม (Pythium spp) ไรซอกโทเนีย (Rhizogtonia spp) และสเคอร์ไรเทียม (Stentium spp)///


เชื้อราไตรโคเดอร์มา (Trichoderma harzianum) สายพันธุ์ CB-Pin-01 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ได้ถูกคัดเลือกแล้วว่าดีที่สุดสำหรับโรคพืชที่เกิดใน ประเทศไทย เป็นเชื้อราชั้นสูง จัดเป็นเชื้อราปฏิปักษ์ที่สามารถใช้ควบคุมโรคพืช ซึ่งเกิดจากเชื้อราสาเหตุโรคพืชในดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น โรคโคนเน่า โรคเน่าระดับดิน (เน่าคอดิน)ของกล้าพืช และโรคเหี่ยว

นอกจากจะยับยั้งแล้วยังใช้ป้องกันโรคพืชที่เกิดจากเชื้อราเช่น

เชื้อราพิเทียม (โรคเน่าระดับดิน กล้ายุบ กล้าเน่า)
เชื้อราฟิวซาเรียม (โรคเหี่ยว)
เชื้อราสเคลอโรเทียม (โรคโคนเน่า เหี่ยว)
เชื้อราไรซอคโทเนีย (โรคเน่าระดับดิน กล้ายุบ กล้าเน่า)
เชื้อราคอลเรโตตริคัม (โรคใบจุด ใบไหม้ ผลเน่า แอนแทรคโนส )
เชื้อราโฟมอพซิส (โรคใบจุด ลำต้นไหม้ )
เชื้อราอัลเทอร์นาเรีย (โรคใบจุด ใบไหม้)

-------------------------
วิธีใช้
เมื่อเราได้เชื้อสดมา ควรเตรียมกาละมังหรือถังน้ำ แล้วให้เทใส่น้ำ   3-5  ลิตรเพื่อทำการกระจายเชื้อลงสู่น้ำ จากนั้นเตรียมหา ผ้าสำหรับกรอง หรือกระชอนตาถี่ๆ หรือผ้ามุ้ง หรือ วัสถุที่กรองได้ละเอียดเพื่อไม่ให้ ไม่ให้กากไปอุดหัวพ่นหรือวัสดุภายเครื่องพ่น

เมื่อเอาถุงข้าวที่มีเชื้อไตรโครเดอรม่ามาเทใส่ถังน้ำ ขยำก้อนข้าวด้วยมือให้เมล็ดข้าวแตกตัวออกจากกันเพื่อให้เชื้อกระจายลงน้ำในถังคนๆน้ำในถังเพื่อให้เชื้อกระจายได้ดี  และปล่อยทิ้งไว้ 2-4 ชั่วโมงเพื่อให้เชื้อตื่นตัว จึงนำมากรองและผสมน้ำ พร้อมนำฉีดพ่น

อัตราส่วนคร่าวๆ 1 โลต่อน้ำ 20 ลิตร หรือจะ ครึ่งโล ต่อน้ำ 20 ลิตรก็ได้ ครับ สามารถฉีดได้ประมาณ 1 ไร่ ขึ้นอยู่กับการใช้ถ้า พืชมีการระบาดของโรคพืชมากก็ใช้เข้มข้นหน่อย ถ้าฉีดป้องกันก็ใช้น้อยหน่อยครับ การฉีดพ่นฉีดพ่นทางให้ทั่ว ใต้ใบสามารถฉีดพ่นได้ก็ควรฉีดครับ 

ฉีดพ่นป้องกันโรค 7-10 วันครั้ง หรือผสมพร้อมปุ๋ยเลยก็ได้ครับ สำหรับกล้วยไม้
ฉีดพ่นสำหรับพืชที่ป่วยและกำลังระบาดของโรคที่เกิดจากเชื้อรา 3-5 วันครั้ง


ข้อควรระวัง

ต้องล้างเครื่องพ่นไม่ให้มีย่าฆ่าเชื้อราหลงเหลือ หรือแยกเครื่องพ่นตะหาก เพราะยาฆ่าเชื้อราจะไปทำลาย ไตรโคเดอรม่า เมื่อฉีดพ่นแล้วอาจจะไม่ได้ผลดีหรือไม่ได้ผลเลย การแยกเครื่องพ่นจะดีที่สุด แต่ถ้ามีเครื่องพ่นแค่อันเดียวควรล้างหลายๆน้ำแยกส่วนประกอบเครื่องพ่นให้ทำความสะอาดทุกส่วนเพื่อไม่ยาฆ่าเชื้อราตกค้างอยู่จึงจะใช้ ไตรโคเดอรมาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

 แถมๆ ไตรโครเดอรม่า มีขายกันหลายเจ้า มีหลากหลายรูปแบบ ชนิดน้ำ ผง เม็ด แบบซองชาสำหรับละลายไว้ฉีดพ่น

--------------
การเพราะเชื้อไตรโครเดอรม่า จากหัวเชื้อแห้ง

อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม
1. ข้าวถ้าเป็นข้าวกล้องหรือข้าวที่ราคาไม่แพงจะเหมาะเพื่อลดต้นทุนในการทำ
2. เชื้อไตรโคเดอร์มาจะเป็นแบบขวดที่มาเป็นเกร็ดๆ หรือเป็นแบบน้ำ หรือ เป็นแบบผง ก็แล้วแต่จะเลือกแต่แนะนำแบบเกร็ดที่ขายเป็นขวดจะได้ผลในการเพราะเชื้อจากข้าวมากที่สุด 
3. ถุงร้อนขนาดเท่าใดก็ได้ และหนังยางหรือเชือก
4. ทัพพีตักข้าวและส้อม

วิธีการเพาะเชื้อ
1. เช็ดอุปกรณ์ให้สะอาด แล้วมาหุงข้าวกันก่อนเลย อัตตราส่วนคือ ข้าว 3 ส่วนต่อน้ำ 2 ส่วน เราก็จะได้ข้าวแข็งๆ เป็นเม็ดร่วนๆ คือข้าวสุกๆดิบๆแบบแข็งๆที่ไม่เหมาะกับทานแต่เหมาะกับเพราะเชื้อ
2.  ตักข้าวใส่ถุงในขณะที่ข้าวร้อนอยู่เพื่อเป็นการฆ่าเชื้อในถุงในตัว ใส่เพียงครึ่งถุงหรือเกือบจะครึ่งถุงพอ  รีดอากาศออกให้หมดแล้วค่อยๆปิดปากถุงด้วยการพับไว้ รอให้ข้าวหายร้อนแค่อุ่นหน่อยๆพอ
3. นําเชื้อไตรโคเดอร์ม่าที่เป็นผง เหยาะใส่บนข้าว2 - 3 จุดแล้วรีดอากาศออกอีกรอบมัดปากถุงทันที ถ้าเป็นแบบเกร็ดหรือแบบน้ำก็ทำเช่นเดียวกัน แต่แบบน้ำควรเขย่าขวดและใส่แค่ 2-3 หยดพอเพื่อไม่ให้ความชื้นมากเกิน
4. เขย่าถุงให้เชื้อในข้าวกระจายให้ทั่ว แล้วปิดปากถุงด้วยแม๊กเย็บกระดาษหรือจะเป็นวัสดุอื่นก็ได้แต่ขอให้ปากถุงเรียบ ไม่ควรเอาหนังยางมัดเพราะปากถุงจะแคบ อากาศจะเข้ายาก เจาะรูข้างปากถุงที่อยู่ด้านบนถุง 10 - 15  รูให้อากาศเข้านิดหน่อย วางในแนวนอน
5. นำ ไปวางไว้ในที่มีแสงอ่อนส่องถึงบ้าง(หรือในที่ร่มที่ไม่ร่มมาก) และมดแมลงเข้าไปรบกวนไม่ได้
     
6. ทิ้งไว้ 2-3 วันให้ขยําถุงอีกรอบให้เชื้อกระจายทั่วข้าวที่อยู่ในถุง  2-3  วันเชื้อราจะขยายจนเต็มถุง ก็สามารถนำไปใช้ได้ เราก็จะได้ ราไตรโครเดอรม่าสดๆ พร้อมนำไปใช้
///ท่าน รองศาตราจารย์ ดอกเตอร จรีเดช แจ่มสว่าง/// ท่านเป็นผู้วิจัยและศึกษาการนำไตรโคม่า นำมาใช้ปราบเชื้อราชนิดอื่นๆและยังยั้งโรคที่เกิดจากเชื้อราได้

ฉะนั้น จึงเชื่อถือได้ 100% 





อันนี้เป็นแบบชนิดเม็ดและชนิดละลายน้ำเพื่อการฉีดพ่น



สัมภาษณ์รศ.ดร.จิระเดช แจ่มสว่าง เจ้าของรางวัล ผลงานเด่น สวก. โครงการการพัฒนาเชื้อราไตรโคเดอร์มาฯ

34 หวายท่านใดทิ้งใบหมดลองทำแบบนี้ดู

 ถ้าหวายท่านใดทิ้งใบหมด ต้นอ่อนหน่อใหม่ไม่ยอมโผล่อย่างปล่อยให้มันเหี่ยวแล้วจากไป ทำแบบนี้เลยครับ ตัดตามรูปในคลิป ตัดแล้วทาปูนแดงด้วยนะ อ่อ อย่าลืมผสมเร่งรากในน้ำที่รดด้วยนะครับ

 รดเช้าครั้งเดียวพอ ปุ๋ยไม่ต้องนะ ถ้ารากงอกยาวพอสมควรแล้วค่อยแยกไปปลูกแล้วนับอายุไม้ตั้งแต่รากออกประมาณเดือนครึ่งถึงรดปุ๋ยอ่อนๆนะ ผสมปุ๋ย1ใน3 แล้วค่อยๆเพิ่มปริมาณปุ๋ยตามอายุไขของหวาย






35 เสียงเพลงมีผลต่อกล้วยไม้

เสียงเพลงมีผลต่อกล้วยไม้ เช่นกัน หลายคนคงเคยได้ยินว่าเปิดเพลงให้ต้นไม้ฟังแล้วต้นไม้ออกดอกดีกว่าเดิม ดอกสวยกว่าเดิม มากกว่าเดิม ให้ผลที่ใหญ่กว่าเดิมสวยกว่าเดิม เติบโตเร็วกว่าเดิม และสมบูรณ์มากกว่าเดิมจากที่เคยเป็น
.

เท่าที่อ่านดูจากบันทึกและข่าวสารที่ได้ผ่านตามา เพลงที่ดีที่สุดต่อกล้วยไม้เป็นเพลงบรรเลงช้าๆที่มีท้วงทำนองเรียบๆง่ายๆฟังแล้วสบายหู จะเป็นเพลงของชนชาติใดก็ได้
.

แต่ขอให้เป็นเพลงที่ไม่เน้นเสียงเบสมากไปหรือเสียงแหลมมากไป โทนเสียงกลางๆ แต่ไม่ควรเปิดนานๆหลายๆเพลงติดต่อกัน เพราะจะเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี ความดังของเสียง ให้ดังในระดับเสียงที่คนพูด ไม่ควรเปิดดังมากๆ หรือค่อยเกินไป เพราะมันจะไม่ได้ผลที่ดี
.

ระยะเวลาที่เปิดเพลงที่เหมาะสมที่ดีที่สุด คือ 5 เพลงที่เปิดต่อเนื้องกัน เพลง 1 เพลงไม่ควรยาวเกิน 4 นาที(คือเปิดเพลงต่อเนื้องประมาณ20นาทีนั้นเอง) แล้วพัก 1 ชั่วโมง หรือเพลงยาวเกินนิดๆหน่อยแต่รวมแล้วประมาณ 20 นาทีแบบต่อเนื้องกว่าๆก็ถือว่า ok อยู่
.

1 วันเปิดเพลงนับเฉพาะช่วงเวลาของเพลงที่เปิดไม่เกินเวลา 3 ชั่วโมงต่อวัน(เปิด20นาที 9 ครั้งนั้นเอง) จะได้ผลดีที่สุด และไม่ควรเปิดเวลาเดิมๆซ้ำกันทุกวัน ให้ปรับเลื่อนเวลาขึ้นลงตามความเหมาะสมแต่ให้อยู่ในมีดวงอาทิตย์ส่องแสงอยู่ พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไม่ควรเปิด
.

ส่วนช่วงระยะเวลาห่างของการพักไม่เปิดเพลงนั้นยึดยุ่นได้ตามใจชอบแต่ไม่ควรน้อยกว่า 1ชั่วโมง แต่เกินชั่วโมงไว้ก่อน เพื่อใ้ห้ต้นไม้ไม่รุ้สึกอึดอัดและรำคาญจนเกินไป เพราะต้นไม้จดจำอะไรซ้ำๆจะเกิดความเครียดได้เหมือนกัน
.

ส่วนเพลงนั้นควรสลับสับเปลี่ยนบ้างเพื่อไม่ให้ต้นไม้รู้สึกไม่ดีกับเสียงเพลง คือเบื่อเซ็งเครียด เราไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นจังต้องหาเพลงใหม่ๆบ้างสลับเพลงบ้าง
.

ถ้าหาเพลงบรรเลงให้ต้นไม้ฟังไม่ได้ เพลงบ๊อบเพลงคลาสสิกเพลงรักในแบบสมหวัง เพลงที่ฟังแล้วทำให้คนเราใจเย็นลงได้ ฟังแล้วผ่อนคลายสบายใจ ก็สามารถมาเปิดให้กล้วยไม้ของเราฟังได้ครับ หรือเล่นเครื่องดนตรีเล่นไปร้องไปก็ย่อมได้
.

ปล.อันนี้ก็เป็นเทคนิตอย่าง1ครับที่ทำให้กล้วยไม้ของเราสวยงามขึ้น ถ้าไม่เชื่อลองค้นดูครับ จะได้คำตอบแต่อาจจะต้องค้นมากหน่อยถึงจะได้คำตอบที่เป็นบทสรุปครับผม
อีโมติคอน kiki

อ่อลืมๆรูปประกอบ จากเวปนี้ครับ
http://www.kasetdd.com/board/index.php?topic=706.0

33 ไม้ขวดมีดีอย่างไร


มาพูดถึงไม้ขวดกันบ้างดีกว่าว่าหลายๆคนชอบซื้อมามันมีดีอะไร

คงจะเคยเห็นไม้เพาะใส่ขวดบ้างขายกันเป็นขวดๆมาเลย แต่เราๆท่านๆอาจจะงงว่าบางคนชอบซื้อแต่ไม่ยักจะเอามาขายแหะ บางคนก็ซื้อมาเพาะเก็บไว้บ้างขายต่อคนอื่นหลังจากลงกระถางไม้นิ้วบ้าง
.

สำหรับคนที่ไม่เคยศึกษามาก่อนก็อาจจะลำบากนิด1ถ้าเอามาแบบไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน เพราะค่อนข้างยุงยากพอสมควรเลย ตั้งแต่ซื้อมา มาหาวิธีทุบขวดแบบปลอดภัย เอาไม้ออกจากขวด ล้าง แล้วพึ่งในที่ร่มมากหน่อย จนถึงกระทั่งลงกระถางใบจิ๋ว
.

ขอพูดถึงข้อดดีของไม้ขวดก่อน คือ เราได้เลือกต้นที่สวยๆถูกๆใจๆแยกไว้เป็นพิเศษได้ครับ แบบว่า เอาแว่นขยายส่องดู กล้่องส่องพระส่องดูกันเลยทีเดียว
.

ว่า มีแววสวยแค่ไหน โดยเฉพาะช้าง ที่มีดอกสีเข้มๆหรือสดๆหรือสีแสบตา มักจะมีสีออกแพมๆตั้งแต่เริ่มออกเอาออกมาพึ่งรดน้ำวันละครั้งแล้วละครับ
.

ยิ่งเวลาผ่านไป(เอาแค่อาทิตย์เดียวที่ออกจากขวด) สีสรรจะฟ้องชัดแจนว่าต้นไหนสีที่ใบต้นและรากออกมาให้เห็นขอบๆปลายรากหรือโคนราก
.

บางต้นจะโตใหญ่เร็วกว่าเพื่อนและสีมากกว่าเพื่อน และทรงดีกว่าเพื่อน ถ้าชอบก็เก็บไว้ หรือเตี้ยป้อมอวบแต่สวย ถ้าชอบก็เก็บไว้ หรือ กลายพันธุ์ มีใบด่างให้ดูด้วย หรือ ต้นสีอ่อน(ด่างจนไม่เหลือสีเดิม)เลยถ้าชอบก็เก็บไว้ครับ
หรือมีแปลกๆ ขึ้นแบบแฝด หรือขึ้นแบบใบพิเศษปลายใบมีหยักๆเหมือนเฟืองถ้าชอบก็เก็บไว้ครับ
.

เพราะบางทีมันก็กลายพันธุ์ได้ครับ ถึงมาจากหน่อเดียวกันฝักเดียวกันเนื้อเยื้อแบ่งตัวจากที่เดียวกันขวดเดียวกัน แต่ไม่เหมือนกันจนบางทีแทบจะไม่อยากจะเชื่อจากสายตาว่ามาจากหน่อเดียวกัน (บางคนก็ชอบของแปลกและมีคนมาหาซื้ออยู่เหมือนกันครับเพราะบางคนเค้าชอบเล่นไม้กลายพันธุ์เพราะมันแปลกตาดี)
.

แต่ก็ไม่เสมอไปนะครับ เพราะที่แคะแกนและตายหรืออ่อนแอไปก็มี หรือไม่กลายพันธุ์เลยสักต้นก็มี เหมือนกันทุกต้นโตเท่ากันทุกต้นก็มีครับ
.

ปล.ไว้โพสหน้าจะบอกคร่าวๆครับว่าทำอย่างไรกับไม้ขวด
วิธีเอาไม้ขวดออกจากขวด
ก็มีหลายๆวิธีครับ เอาลวดทำปลายโค้งเล็กๆเพื่อให้เกี่ยวกับโคนต้นออกมาทางปากขวดทีละต้นๆ

หรือทุบขวด แต่การทุบขวดที่ดี เอาสะก๊อดเทปแปะขวด หนังสือพิมห่อหลายๆชั้นใส่ถุงก๊อปแก๊สอีกสองชั้น แล้วทุบก้นขวด ก็จะลดเศษแก้วไม่ให้ไปบาดกล้วยไม้หรือมือของผู้ทุบขวดครับ (แล้วก็ค่อยเปิดถุงเปิดห่อเอาเศษแก้วทิ้งอย่างระมัดระวังห่อหนังสือพมพ์ทิ้งก็ดีเพราะจะได้ไม่ไปบาดอะไรหรือใครต่ออีกเมื่อหลังจากลงถังขยะไปแล้ว)

หรือใช้การตัดขวดด้วยจานเจียขนาดเล็ก แต่วิธีนี้ต้องค่อยๆทำแล้วเอาน้ำฉีด ใบตัดต้องไว้สำหรับตัดขวดโดยเฉพาะครับ
.
เอาคร่าวๆแค่นี้ คงพอครับ แต่พอเอาออกจากขวดก็ล้างน้ำก่อนค่อยทำช้าๆเพราะต้องดูเศษแก้วไม่ให้หลงมาบาดมือคนหรือกล้วยไม้ ล้างในกาละมังดีสุดเพราะกว้างดี แล้วเตรียมตะกล้าไว้ผี่งกล้วยไม้ วางเรียงนอน หรือจะวางเรียงตั้งติดๆต่อๆกันไปได้ครับ
.

เอาไว้ในที่ร่มมากหน่อยเพราะไม้ยังอ่อนต้องการแสงน้อยมาก จึงไม่ควรเอาไว้ในที่ๆมีแสงเท่าไม้โต หรือหาอะไรบังเพื่อให้ได้รับแสงน้อยกว่าไม้โตครับ ประมาณ 2 เท่าบังแสง2เท่าของต้นที่โตแล้วนั้นเอง
.

การดูแลก็รดน้ำวันละครั้ง อยู่ในที่อากาศถ่ายเถได้ดี มีลมพัดบ่อยๆไม่อับชื้นและแยกต้นที่จะตายออกไป ครับ เลี้ยงไว้แบบนี้ 1 เดือนค่อยมาคัดต้นลงกระถางนิ้ว
.
ถึงจะเริ่มให้ปุ๋ยอ่อนๆถึงอ่อนมากๆ (ตรงนี้ต้องแล้วแต่สายพันธุ์ จะเศษ1ต่อ5 แล้วค่อยๆเพิ่มทุกสองอาทิตย์หรือจะเพิ่มไปตามตราส่วนที่ของแต่ละสายพันธุ์นั้นๆ )
.
ส่วนแสงนั้นค่อยๆลดการพลางแสงลงหลังจากที่เข้าสู่เดือนที่ 3 จากสองเท่าเป็น 1 เท่า(แล้วแต่สายพันธุ์ว่าใช้เวลากี่เดือนก็ว่าไปเพราะต้องไปค้นเอาว่าแต่ละสายพันธุ์ใช้ระยะเวลาเท่าไร )

นี้คือแบบคร่าวๆครับที่บอกต้องลองไปศึกกันดูครับ ถ้าสนใจก็ลองไปหามาแต่ว่า ต้องทำใจนิด1 เพราะต้องใช้เวลามากหน่อยในการเอาใจใส่เค้านะครับ
ดูต้น ทีละต้น ขวด 1 ก็ประมาณ 40 ต้น คัด รดน้ำ สลับเรียงบ้าง หรือเริ่มแยกๆต้นที่ชอบออกมาบ้าง เป็นต้น

ปล.อย่าผิดเรื่องปุ่ยและยากันเชื้อราเด็ดขาดเน้อ เพราะต้นอ่อนไวต่อยาและปุ๋ยมากๆ ไม่งั้น ขึ้นสรรค์ยกเซต ครับ

32 พรมน้ำตอนบ่ายๆนั้นสำคัญไฉน

 พรมน้ำตอนบ่ายๆนั้นสำคัญไฉน

ปรกติเราจะรดน้ำช่วงเช้าใช่ไหมครับครั้งเดียวในสายพันธุ์ที่มีเครื่องปลูก และรดสองครั้งสำหรับสายพันธุ์ที่ไม่มีเครื่องปลูก หรือเครื่องปลูกไม่อมน้ำ
.

เพราะตามฟาร์ม ปรกติเค้าจะมีแอ่งน้ำอยู่ด้านล่างของกล้วยไม้อยู่ด้วย เพื่อให้น้ำระเหยขึ้นมาให้ความชุ่มชื้นแก่ราก หรือเครื่องปลูก ส่วนระยะกระถางความสูงจากพื้นแค่ไหนขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และวัสดุที่ปลูกด้วยครับ
.

ถ้าเป็นสายพันธุ์ที่ไม่มีเครื่องปลูกอาจหรือเครื่องปลูกไม่อมน้ำแขวนต่ำหน่อยเพื่อให้ความชื้นเข้าได้ถึงราก และมักจะมีตะไคร่เกาะรากจนเขียวๆเลยทีเดียว
.

ถ้าเป็นสายพันธุ์ที่มีเครื่องปลูกอมน้ำ อาจจะแขวนสูงมากหน่อยหรืออาจจะไม่มีร่องน้ำหรือแอ่งน้ำสำหรับให้น้ำระเหยขึ้นมาเลยเพราะเครื่องปลูกจะได้แห้งทันก่อนอาทิตย์ตกดินนั้นเองครับ เพราะกลางคืนเครื่องปลูกเปียกชื้นเชื้อราถามหาเอาง่ายๆ
.

/////เวลาเราเอามาเลี้ยงตามบ้านเราก็ต้องเข้าใจก่อนว่ากล้วยไม้ที่เราเอามานั้นเป็นแบบไหน ถ้าเป็นแบบไม่มีเครื่องปลูก ช่วยบ่ายๆมันแห้งมากๆ ก็พรมๆให้ชุ่มๆครับ
.

ถ้าเป็นเครื่องปลูกแบบอมน้ำ ควรพรมที่ใบหรือต้นนิดหน่อยพอหรืออาจจะไม่ต้องเลย ให้สังเกตเครื่องปลูกครับว่าแห้งมากน้อยเพียงไร แห้งมากก็พรมพอหมาดๆครับ เดี๋ยวจะแห้งไม่ทันพระอาทิย์ตกดิน
.

แต่อุณหภูมิของน้ำต้องไม่เย็นเกินไปไม่งั้นกล้วยไม้จะช๊อคครับ ร้อนๆมาเจอเย็นๆเข้า
.

เรารดช่วงบ้ายเสริมเพราะว่า ต้องการให้เค้าโตเร็วขึ้นรากเดินเร็วขึ้นและจะได้ไม่ขาดน้ำทดแทนการเสียน้ำจากการคายน้ำของกล้วยไม้ เพราะกล้วยไม้เจอความร้อนนานๆจะคายความร้อนด้วยการระบายน้ำให้ระเหยออกจากต้นใบราก เลยทำให้การเจริญเติบโตไม่ดีเท่าที่ควรถ้าเรารดน้ำเช้าแค่ครั้งเดียว
.

เพราะช่วงบ่ายเป็นเวลาช่วงกล้วยไม้เจริญเติบโตได้ดีนั้นเอง และ
ผลจากการสังเคราะห์แสง ก็จะได้น้ำตาลกลูโคสสำหรับใช้เป็นแหล่งพลังงาน และสร้างการเจริญเติบโตให้แก่ต้นกล้วยไม้ต่อไป ส่วนต่างๆ ของกล้วยไม้ที่มีสีเขียวจะประกอบด้วยคลอโรฟิล (chlorophyll)
.

ซึ่งมีความสำคัญ ต่อกระบวนการสังเคราะห์แสง กระบวนการสร้างน้ำตาลกลูโคสของคลอโรฟิล จะต้องใช้น้ำและคาร์บอนไดออกไซด์ จากอากาศมาทำปฏิกิริยากันได้ จำเป็นต้องมีแสงแดดเข้ามาอยู่ในกระบวนการสังเคราะห์แสง
.

ซึ่งเป็นขบวนการสร้างเซลของกล้วยไม้นั้นเองกล้วยไม้จึงจะโตในช่วงนั้นมากเป็นพิเศษ รากจะยาวขึ้นปลายรากจะใสขึ้นถ้าน้ำพอก็จะสร้างเซลได้สมบูรณ์กว่าไม่ย่นไม่เหี่ยวถ้าน้ำไม่พอจะย่นจะเหี่ยวไปตามสภาพหรือโตช้าครับ
.

ฉะนั้น ช่วงบ่ายๆ โดยเฉพาะวันที่อากาศร้อน หรือหน้าร้อนควรดูแลนิด1ครับแห้งก็พรมสะหน่อย ถ้าเปียกหรือชื้นอยู่ก็ไม่ต้อง

แค่นี้สุขภาพของกล้วยไม้ที่เราเอามาเลี้ยงก็จะดีกว่าเดิมหรือเหมือนที่อยู่ในฟาร์มเลยครับ รับลองออกดอกดีกว่ารดน้ำตอนเช้าครั้งเดียวแน่นอนครับ อ่ออย่าลืมเรื่องของสายพันธุ์ด้วยนะครับ ไม่ใช่ว่าทำได้ทุกสายพันธุ์ถ้าสายพันที่ไม่ชอบน้ำ เทคนิคนี้ไม่ควรใช้


31 อยากรดน้ำกล้วยไม้ตอนเย็นๆค่ำๆดีกๆก็ต้องใช้ยานิด1

ยากรดน้ำกล้วยไม้ตอนเย็นๆค่ำๆดีกๆจะทำยังไง ถ้าลืมรดน้ำหลายวัน เนื่องจาก
ติดธุระ งานยุ่ง ไปต่างจังหวัด หรืออื่นๆที่จำเป็น โดยต้องทิ้งกล้วยไม้ไว้
.

เอาง่ายๆเลยครับ ผสมกันเชื้อราเข้าไปครับ ใช้ชีวะภาพ อย่าง //ไตรโคเดอรมา// ไม่มีคำว่าโดสเกินแน่นอน เพราะเป็นชีวะภาพเป็นเชื้อราเขียว เป็นราที่กินรา ฉะนั้นไม่ต้องกลัวครับว่ากล้วยไม้และคนปลอดภัยแน่นอน ถ้าใช้ยาเคมีกันเชื้อรามากเกินก็จะส่งผลต่อพืชและคนได้ แต่ใช้ชีวะภาพปลอดภัยกว่าครับ
.

แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ไตรโคเดอรมาก็ไม่อาจ ทำได้ทุกครั้งครับโดยเฉพาะหน้าฝน อาจจะได้ผลน้อยหน่อย อ่อ นอกจากไตรโคเดอรม่ายังมี สารชีวะภาพอื่นๆ อย่าง บาซิลลัสสายพันกันเชื้อราแก้เชื้อราแก้โรคเน่าที่เกิดจากเชื้อราก็มาใช้สลับกันได้นะครับ แต่ต้องทิ้งช่วงบ้าง ใช้สลับกัน อย่างละ อาทิตย์ก็ได้ครับ
.

ทั้งนี้และทั้งนั้นก็มีคนถามว่า ถ้าติดตั้งระบบตั้งเวลารดน้ำแบบที่เค้ารับติดตั้งกันหรือไปซื้อเครื่องมาติดตั้งเอง สามารถแก้ปัญหาแบบนี้ได้ไหม
ขอบอกว่าได้ครับ แต่ไม่ใช่กับทุกสถานที่ ต้องดูเป็นเคสๆไป แต่ก็ถือว่าดีมากๆในการรดปัญหาเรื่องรดน้ำกล้วยไม้
.

อ่อ ต้องพิจารณาเรื่องสายพันของกล้วยไม้ด้วยนะครับ เพราะบางสายพันเค้าไม่ชอบน้ำ ต้องให้น้ำวันเว้นวัน ตรงนี้เครื่องตั้งเวลารดน้ำอาจจะทำไม่ได้ หรืออาจต้องตั้งเวลา 2-3ตัวเพื่อแยกเวลาการรดน้ำของกล้วยไม้แต่ละสายพันธุ์ไป
.

ปล.ทุกปัญหามีทางออกเสมอๆครับ และเข้าใจครับว่าสังคมคนเมืองบางทีอะไรๆมันไม่ได้ดังที่คิด เลยต้องมาหาวิธีแก้กันนิด1 แม้นว่ากล้วยไม้จะขาดน้ำอยู่ได้หลายๆวัน ก็ตามแต่ต้องแลกมาด้วยความเหี่ยวย่นของใบและดอกร่วงหรือก้านดอกฝ่อ

แถมอีกนิด สำหรับฟาแลนที่ใช้สเฟคนั่มมอสปลูกที่รด อาทิตย์ละครั้ง ก็ไม่ต้องกังวนมากครับ ใช้ระบบน้ำหยดได้สบายๆเลย อิอิ(แต่หาอะไรมาลองนิด1เดี๋ยวพื้นเปียกถ้าใช้จานรองต้องหาอะไรหนุนไม่ให้น้ำมันขังก้นกระถางนะก๊าป )

30 พัดลมกับเชื่อกด้าย นำมาใช้กับต้นไม้

พูดเรื่องพัดลมกับเชื่อกด้าย นิด1

.

บางท่านก็รู้ครับ ว่าฝนตกบ่อยๆ เครื่องปลูกมันแฉะไม่เคยแห้งเนี่ย เอาพัดลมเป่าเนี่ย จะดีหรือ ก็ขอบอกว่าดีกว่ารอลมธรรมชาติครับ จะพัดมาเมื่อไรก็ไม่รู้ ไม่อยากเปลืองค่ายาฆ่าเชื้อรา ก็ พัดลมก็ช่วยได้ครับ
 พัดลมเนี่ยเอาไว้เป่าเวลาที่ฝนหยุดตกแล้วเน้อ ฝนตกอยู่อย่าไปเป่าเชียวละเพราะไม่มีประโยชน์ อิอิ
.

เปิด พัดให้ลมอ่อน เปิดเบอรต่ำสุดและเปิดส่ายไม่จ่อ เปิดห่างๆก็พอ หรือยกมาเป่าในบ้านในชานเรือนหรือ จะย้ายพัดลมในบ้านไปเป่าบริเวณที่มีกล้วยไม้อยู่ก็ได้ครับ แต่หาอะไรบังนิด 1 กันน้ำ ปลั๊กด้วยเหมือนกันครับ เดี๋ยวไฟดูดตายไม่รู้ด้วย
.

ส่วนบางคนบอกไม่มีเวลา ก็สะดวกเวลาไหนก็เวลานั้นครับไม่จำกัดเวลาแค่ขอให้เครื่องปลูกกล้วยไม้ได้แห้งบ้าง รากได้พักบ้าง โดนน้ำมากๆ นานๆ รากเปื่อยเอาได้เหมือนกันครับสำหรับบางสายพันธุ์
.

ส่วนการน้ำเชือกมาห้อยที่ก้นกระถางเพื่อนำทางน้ำให้น้ำไหลออกจากกระถางมากๆที่สุดก็ดีครับ ก้ได้ผลดีครับ แต่ถ้าฝนทิ้งช่วงหมดหน้าฝนแล้วต้องเอาออกนะครับผม ถ้าไม่อยากใช้พัดลมเป่า อ่อเชื่อกให้ห้อยอย่างน้อย 1ฟุตที่ยาวออกมาจากก้นกระถางครับ หรือจะมากกว่านี้ก็ได้ เพื่อเรียกน้ำจากไหนกระถางให้ไหลออกมา
.
แต่ไม่แนะนำกระดาษเช็ดชู่มาม้วนแล้วแหย่ที่ก้นกระถางครับ เพราะเช็ดชู่หลายๆยี้ห้อผสมสารอะไรมาบ้างก็ไม่อาจทราบได้เดียวกล้วยไม้จะป่วยเอานะครับ และเช็ดชู่เป็นตัวเรียกเชื้อราอย่างดีเลยทีเดียว
.

สำหรับเชือกที่เอามาใช้ ก็เป็นเชือกที่ทำจากด้ายจะเหมาะครับ เพราะมันลำเลียงน้ำอมน้ำได้ดี ส่วนเชือกที่ทำจากวัสดุอื่นๆไม่แนะนำครับ เพราะนอกจากจะไม่ดูดน้ำแล้วน้ำอาจจะไม่ค่อยเกาะไม่ค่อยเดินด้วยครับผม
.

ส่วนเชือกนั้นใช้คู่กับพัดลมดีครับแต่ถ้ามีจำนวนกระถางกล้วยไม้แยะอาจจะเหนื่อยหน่อยต้องมาฝูกเชื่อกก้นกระถาง ถ้าขี้เกียดหรือกลัวเสียเวลาแยะ พัดลมนี้แหละครับ ช่วยได้แยะ
.

ส่วนใครกลัวเปลืองค่าไฟ ก็อยากให้คิดนิด 1 มันคงไม่เปลืองมากหลอกครับ ถ้าเทียบกับราคาค่ากล้วยไม้ที่ซื้อมา อยากให้เค้าอยู่กับเรานานๆสุขภาพดีๆ ก็ ต้องช่วยเค้าหน่อยนะครับ เพราะเค้าไม่สามารถช่วยตัวเองได้ ต้องพึ่งพาคนเลี้ยงตลอด
.

ปล. เซฟไว้นะ ถ้ามันหาไม่เจอ มาถามผมเนี่ย ถ้าผว่างจะตอบให้ แต่ไม่ว่างตอบให้อย่าโกรธกันเน้อ อิอิ

29 ปุ๋ยเคมีปลอดภัยไม่เป็นอันตราย แต่ยาฆ่าแมลงควรใช้ให้ถูกวิธีจะไม่ได้รับอันตราย

ขออธิบายนิด1 เนื่องจากบางท่านไม่เข้าใจเห็นเป็นเคมีบอกอันตรายหมดความเป็นจริงมันไม่ใช่ครับ
.

ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆก็แล้วกัน อย่าง
สบู่ ยาสีฟัน ยาสระผม โคโลนดับกลิ่นกาย น้ำตาล เกลือ น้ำส้มสายชู ล้วนแล้วแต่เป็น เคมี ในชีวิตประจำวัน ที่เราใช้กันอยู่ทุกๆวัน สัมผัสอยู่ทุกๆวัน ใช้ในปริมาณที่เหมาะสมก็ปลอดภัยไม่เป็นอันตราย จริงไหมครับ
.

ปุ๋ยเคมีก็เหมือนกันครับ เพียงแต่ ต้องใช้ในปริมาณพอดีกับกล้วยไม้จึงเกิดผลดีใช้มากเกินความเป็นกรดเกินกล้วยไม้ก็ตายครับ
และปุ๋ยเคมีส่วนมากจะไม่เป็นอันตรายต่อคนเเลย นอกจากจงใจสัมผัสโดยตรงในปริมาณเข้มข้นมากๆ เท่านั้นนะครับ
.

ถ้าเป็นยาฆ่าแมลงละ อันตรายไหม ถ้าเราใช้ถูกวิธีและอ่านฉลาดครบถ้วน ก็ไม่อันตรายครับ เพราะยาฉีดยุงยาฆ่าแมลงสาปที่เราๆท่านๆใช้กันมันก็อันตรายจริงไหมครับ ฉีดแล้วต้องหนีไปอยู่ที่อื่นก่อนให้สารเคมีหมดฤทธิ์ก่อนจึงจะปลอดภัย
.

ยาฆ่าแมลงที่ใช้กับกล้วยไม้ก็เช่นกันครับ อ่านฉลาดดูให้ครบถ้วน เครื่องป้องกันควรมีและควรใช้ให้ถูกวิธี และอันไหนมีสารตกค้างนานเท่าไรต้องดูฉลากด้วยนะครับ ถ้าเลือกแบบไม่มีสารตกค้างนานก็ปลอดภัยกว่า ถ้ารู้และเข้าใจมันก็ไม่อันตรายครับเพราะเราป้องกันและระวังในการใช้อย่างถูกวิธีและรู้ทัน
.

ส่วนการใช้สมุนไพรแทนก็ดีครับ แต่ถ้ามันหนักและไม่ได้ผลที่น่าพอใจ ก็ลองเคมีดูครับ เพราะกล้วยไม้ไม่ใช่ไม่ผลหรือไม้ใบที่ใช้กิน สารเคมีตกค้างบางชนิดมีผลเฉพาะกินครับ อยากให้อ่านฉลากให้เข้าใจก่อน ว่ามันอันตรายต่อคนแค่ไหน ถ้าบางชนิดมีผลต่อการสัมผัสก็หลีกเลี้ยงอย่าใช้ครับ หรือจำเป็นต้องใช้จริงๆควรไม่สัมผัสกล้วยไม้จนกว่าสารเคมีชนิดนั้นๆจะสลายไป

28 ชมรมกล้วยไม้ สมาคมกล้วยไม้

ชมรมกล้วยไม้ สมาคมกล้วยไม้ ระดับท้องถิ่น ชุมชน จังหวัด ประเทศ คงจะมีอยู่ไกล้ๆบ้านท่านๆหลายๆคน
บาง คนสงสัยฉันเลี้ยงนิดๆหน่อยๆเข้าร่วมดีไหม ฉันเลี้ยงเฉยๆไม่ได้ขายเข้าร่วมดีไหม ขายปุ๋ยขายยาอย่างเดียวเข้าร่วมดีไหม ทำแลปอย่างเดียวเข้าร่วมดีไหม เลี้ยงแล้วรอดบ้างไม่รอดบ้างเข้าร่วมดีไหม


ผมขอบอกแบบนี้ครับ ให้ลองสอบถามดู ว่า ประโยชน์ที่ได้รับคืออะไร
ข่าว สาร ผู้คน โอกาส การเรียนรู้ การอบรม การเปิดคอร์สสอน รวมไปถึงการจัดงานต่างๆ ซึ่ง แต่ละชมรมหรือสมาคมนั้น แต่ละที่แต่ละท้องถิ่นมีจุดประสงค์แตกต่างกันออกไป บ้างก็คล้ายๆบ้างก็เหมือนกัน
.


บางสมาคม หรือชมรม มีเก็บค่าโน้นค่านี้ค่านั้น จะดีไหม หรือจะเข้าร่วมที่เค้าให้เข้าฟรีๆ เลือกกิจกรรมที่น่าสนใจจึงจะไปร่วมดีไหม ก็ขอให้พิจรณาและดูข้อมูลครับ เพราะ เราเข้าร่วมแล้วได้อะไรบ้าง เสียอะไรบ้าง และจุดประสงค์ของแต่ละสมาคมและชมรมนั้นเหมาะกับเราแค่ไหน ไม่เหมาะก็ไม่เข้าร่วมหรือเปลี่ยนชมรมสมาคมก็ว่ากันไป
.

/// เลือกแนวทางและสไตรร์ของท่านๆได้เลยว่าชมรมหรือสมาคมอันไหนเหมาะแก่ท่าน ///
.

ส่วน ตัวผมว่า สมาคมหลายๆที่ไม่เน้นกิจกรรมมากนักไม่เน้นบังคับมาอบรม แบบนี้กระผมชอบครับ เพราะเราสามารถเลือกที่จะร่วมกกิจกรรมนั้นๆตามความเหมาะสมหรือมีเวลาพอ และได้รู้จัก เจ้าของสวนและได้มีโอกาสเจอผู้รู้และผู้ที่มี องค์ความรู้ เพื่อขอคำแนะนำอันเป็นประโยชน์แค่เราๆท่านๆ และๆที่สำคัญคือ ได้รู้แหล่งกล้วยไม้งามๆ ได้รู้ข่าวสารการจัดงาน ได้ไปเยี่ยมเยือนฟาร์มกล้วยไม้แต่ละท่านๆ ได้โอกาสราคาพิเศษ และได้อะไรๆอื่นๆอีกมากมายครับ มิตรภาพก็ได้
.

ส่วน ค่าใช้จ่ายมีบ้างครับ ค่ารถค่าเดินทาง ค่ำเครื่องดื่มอาหารกลางวัน ก็ว่ากันไปของแต่ละชมรม อันนี้อยู่ที่การตัดสินใจครับ เพราะหลายๆชมรมสมาคมเน้นคุยแลกเปลี่ยนข่าวสารความรู้มากกว่า
ส่วนบาง ชมรมเน้นกำไรเน้นกิจกรรม เน้นจ่ายค่าโน้นนี้นั้นจนดูวุ่นวายก็ถ้าไม่สะดวกอย่าไปเข้าร่วมครับ เพราะบางทีเอาส่วนลดในการเลือกซื้อปุ่ยยากล้วยไม้มาเป็นตัวร่อตัวแปลหรือมี กิจกรรมการทดลองทำโน้นนี้นั้นมาโฆษณา ก็ให้พิจารณาดูให้ถี่ถ้วนครับว่าอะไรๆที่เหมาะกับเรา
.

ปล. จะอยู่หลายๆสมาคมหรือหลายๆชมรม หรือจะอยู่ชมรมหรือสมาคมที่ชอบก็ได้ครับ ข้ามจังหวัดข้ามท้องถิ่นก็ได้ตามสะดวกครับ เพราะ ส่วนมากเน้นมิตรภาพครับ
.

ส่วน เรื่องผลประโยชน์นั้นเป็นแค่ผลพลอยได้ที่พวกเค้าเหล่านั้นไมค่อยจะนึกถึง มากกว่าครับ เพราะมันเป็นปลายทางไม่ใช่ต้นทางที่แต่ละสมาคมหรือชมรมตั้งขึ้นมาครับ เพราะจุดปรสงค์ที่แท้จริง คือ ให้ทุกท่านที่เป็นสมาชิก ได้รับความสุขและความรู้และความพอใจอิ่มใจจากการเลี้ยงกล้วยไม้ครับ เพราะหลายๆสมาคมและชมรมเน้นตรงนี้เป็นหัวใจหลักในการก่อตั้งครับ


วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2559

27 เศษโฟมใส่เครื่องปลูก

 เศษโฟมใส่เครื่องปลูกกล้วยไม้ได้ครับ 

ถ้าใช้ใช้ผสมกับสัสดุอื่นๆได้เลย แล้วแต่ความเหมาะสมของกล้วยไม้
ข้อดีคือลดน้ำหนักของวัสดุปลูกได้ ไม่ก่อให้เกิดโรค ราไม่เกาะ
แต่มันไม่อมน้ำ ok นะ

ในภาพคือ เปลี่ยนกระถางฟาแลนฯ

เอาโฟมมาบิๆ แล้วผสมสแฟกนั่มมอสเฉยๆ แล้วก็ย้ายลงกระถางเฉยๆ

กระถางแบบนี้โตเร็วไวอากาศถ่ายดี้ดี ชื้นแต่ไม่แฉะ อาจจะนอกตำราไปนิดแต่โดไวดี รากไม่หนีกระถางครับ

อ่อ ใส่ยากันราด้วยนะครับ




26 น้ำส้มควันไม้กันเจลบอล(ดินวิทยาศาสตร์)

ไล่แมลงด้วยน้ำส้มควันไม้+เจลบอล(ดินวิทยาศาสตร์)

ลืมบอกเวลาแช่ปิดฝาด้วยนะ

 ได้ผลดีในระดับที่น่าพอใจ ไล่ผีเสื้อกลางคืนได้ดี และแมลงอื่นๆได้มากพอสมควร กลิ่นแรงกว่าการฉีดพ่นครับ

ข้อดีคือ เมื่อน้ำระเหยจะพานำกลิ่นน้ำส้มควันไม้กระจายออกมาด้วย ทำให้แมลงไม่ชอบนั่นเอง กลิ่นออกมามากกว่าการฉีดพ่นที่ใบ

ข้อเสีย ถ้าลมไม่พัดพื้นที่ไม่มีการถ่ายเทของอากาศได้ดีพอ กลิ่นน้ำส้มควันไม้จะออกมาน้อยหน่อย แต่ก็กลิ่นออกมากกว่าการฉีดพ่นธรรมดา


ปล. ศึกษาพันก็มีขาย ร้านขายต้นไม้หลายๆร้านก็มีขาย ในเฟตบุ๊กก็มีขาย ลองดูเน้อ
มันหดลงมากๆก็เอามาแช่ในน้ำส้มควันไม้ไหม่ ก็เอากลับมาใช้ได้ใหม่ อ่อทนด้วยใช้ได้ยาวนานหลายปีเลยครับผม

ใส่ตะกร้อปุ่ยจะได้ไม่กลิ้งหนี ครับ



25 หลงซื้อกล้วยไม้มา

มีข้อคิดอีกแล้วครับ คือ

กระผมบางทีก็แปลกใจนะว่าเห็นหลายๆคนที่ไม่เคยเลี้ยงกล้วยไม้ แต่เอากล้วยไม้เข้าบ้านแบบงงๆ บางทีเห็นหลายๆคน ได้มาแบบไม่ได้ตั้งใจ ซื้อตามเพื่อน ซื้อตามกระแส ซื้อตามคนอื่น เห็นคนอื่นเค้ามีต้องไปหามาบ้าง ตอนแรกท่านก็ชอบและชื่นชมกับความสวยงาม แต่เวลาต่อมาละจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
.

อย่างแรก ข้างบ้านท่านหรือคนแถวบ้านท่านถามแน่นอน และต่อมาคือ คำบอกเล่าประสบการที่ดีและไม่ดีกับกล้วยไม้ และท่านต้องมาคิดว่าจะทำอย่างไรดี
.

ถ้าเชื่อคนที่ประสบการไม่ดีเลี้ยงๆไปเดียวก็ตาย กล้วยไม้ในมือท่านมันก็จะตาย เพราะขาดการเข้าใจในการเลี้ยง

.

ถ้าเชื่อคำบอกเล่าจากคนที่มีประสบการที่ดี ท่านจะไปซื้อปุ๋ยยาหรือที่พลางแสงมาไหม หรือไม่สนใจเลี้ยงตามมีตามเกิด เอาไปรวมๆกับไม้อื่นๆ
.

อย่างที่สอง ท่านจะเลือกหนทางใดดีตัดสินใจอย่างไรดี

ถ้าชอบและอยากให้อยู่นานๆอยากเห็นดอกต่อๆไป ท่านก็เอาใจใส่หาความรู้ความเข้าใจต่อไปไหม หรือชอบแต่ขาดความรู้ก็เลี้ยงตามมีตามเกิดต่อไป

ถ้าท่านเฉยๆไม่สนใจก็มีทางเลือกว่าจะส่งต่อให้คนอื่นหรือท่านจะปล่อยไปตามยัธถากรรม

ถ้าติดสินใจไม่ได้ก็เอาไปไว้ที่ใดที่1ซึ่งถึงเวลาก็ปล่อยไว้อย่างงั้น แล้วเวลานึกออกจะไปถามเพื่อนถามคนรู้จักแล้วถึงจะมาตัดสินใจต่อว่าเอาไงดี

.

ปล. ก็แค่อยากบอกนะครับถ้าเอาเค้าเข้ามาแล้วก็ดูแลเค้าสักนิดนะครับจะถูกจะแพงเค้าก็มีชีวิตครับ ไม่อยากเลี้ยงส่งต่อให้คนอื่นครับ ถ้าเสียดายตังก็หาข้อมูลซื้อปุ๋ยซื้อยาซื้ออุปกรณ์สำหรับเลี้ยงมาเถอะครับ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว

24 ควรถามคนขายว่ากล้วยไม้ออกดอกปีละครั้งหรือออกดอกปีละกี่ครั้ง

เขียนสั้นๆแล้วกัน กล้วยไม้ ก่อนซื้อ ศึกษาก่อนก็ดี ซื้อมาแล้วมารู้ทีหลังว่า ออกดอกปีละครั้งเท่านั้น ส่วนเดือนอื่นๆได้ดูแต่ใบ ก็ถ้าไม่ชอบก็หาอย่างอื่นมาเพิ่มเอา เพราะถ้าไม่ถูกใจจริงๆ ก็ให้ใครไปก็ได้ครับ เดี๋ยวจะไม่มีความสุข

บางคนชอบดูแต่ดอก แนะนำ พวกที่ออกดอกทั้งปีหรือบ่อยๆอย่างหวาย ก็ดีครับ เดี๋ยวนี้มีหลายสีหลายขนาด

ฉะนั้นก่อนซื้อควรหาข้อมูลนิด1หรือซื้อมาแล้วมาร้องอ่าวทีหลัง ก็ไม่เป็นไร ซื้อเพิ่มเอาสายพันธุ์ที่ท่านต้องการและออกดอกบ่อยๆจะได้มีความสุขครับ

 เพราะคนเราชอบไม่เหมือนกัน บางทีหลงเอามาแล้วแล้วอย่าน้อยใจซื้อใหม่เพิ่มเข้าไป เดี๋ยวถึงฤดูพวกไม้ออกดอกปีเดียวครั้งเดียวจะออกมาให้ดูเองครับผม (เลี้ยงหลายๆพันธุ์จะได้มีดอกดูทั้งปี ok นะ)

23 ราคาปุ๋ยเคมีและชีวะภาพ+ความคุ้มค่าของเงินที่จ่ายไป

ส่วนในเรื่องของราคาปุ๋ยนั้น ก็เป็นปัจจัยสำคัญ เพราะปุ๋ยเคมีบางตัวแพงบางตัวถูก แต่ชีวะภาพบางตัวแพงเท่าเคมีหรือแพงกว่า บางเจ้าก็ถูกกว่า

ชีวะภาพทำเองบางสูตรลองคำนวนดูราคาค่าใช้จ่ายพอๆกับเคมี ซึ่งต้องซื้อวัตถุดิบจำนวนมากในราคาส่งจึงจะถูกคุ้มตังในการทำ

หรือมีวัตถุดิบที่หาได้เองจึงจะประหยัดต้นทุนได้ บางทีซื้อเค้าถูกกว่าทำเองสะอีกหรือ ไม่อยากเหนื่ีอยก็ซื้อเอาเพราะทำเองถูกกว่าไม่กี่บาท

ส่วนเคมีนั้น ดูเหมือนจะแพงนะ แต่ลองวัดตวงปริมาณการใช้ละลาย1ครั้งว่าใช้เท่าไร ใช้นิดเดียวแสดงว่าใช้ได้นาน วัดตวงดูแล้วคำนวนใช้ได้หลายๆครั้ง

ชีวะภาพก็เช่นเดียวกัน ใช้ทีละช้อนแกงช้อนชา ก็ลองตักดูว่าได้กี่ช้อน และเราใช้กี่ช้อนในการรดปุ๋ยแต่ละครั้ง คำนวนเป็น 1 ครั้งต่อการรดน้ำ ก็จะทราบแล้วว่า ใช้เงินในการรดปุ๋ยแต่ละครั้งเท่าไร เจ้าไหนคุ้มค่ากว่าดีกว่า

จึงสรุปคร่าวแบบว่า อันไหนคุ้มตัง อันไหนดี ต้องลองดู

ส่วนอันไหนได้ผลจริงก็บอกต่อๆกัน อันไหนโฆษณาเกินจริงก็วิจารกันไป

แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นต้องลองหาสาเหตจริงๆด้วยเน้อ

แสงไม่พอบ้าง รดแฉะเกินไปบ้างค่ำแล้วเครื่องปลูกยังไม่แห้งบ้าง เห็ดขึ้นราขึ้นบ้าง วัชพืชขึ้นเพียบบ้าง

แมลงอยู่ในเครื่องปลูกบ้าง(ด้วงเล็กๆ) บ้าง

----------------------------------------------------------------

ส่วนเรื่องราคาความคุ้มค่าและประสิทธิ์ภาพนั้น คงต้องลองกันไปครับ
อ่านฉลาก แล้ววัดตวงดูก็น่าจะได้ข้อสรุปคร่าวๆครับ
.

ส่วนเรื่องประสิทธิภาพได้ผลหรือไม่ได้ผลก็ต้องลองดูครับ
ถ้าไม่มั่นใจลองค้นคว้าหาข้อมูลดูก่อนก็ได้ครับ
บางทีเราอยากได้ข้อสรุปที่เร็วๆสันๆซื้อปุ๊บใช้ปั๊บอย่างมั่นใจเลยมันคงไม่ได้ครับ
.

เหมือนสินค้าอุปโภคบริโภคเราทั่วๆไปนะครับ เค้าโฆษณาว่าดี พอลองแล้วดีบ้างไม่ดีบ้าง เจอข้อดีเจอข้อเสียกันบ้างไปตามอัตภาพ
.

เลยออก มาบอกรวมๆนะครับ เพราะหลายๆท่านมาถามว่า ยี้ห้อนั้นดีไหม ยี้ห้อนี้ดีไหม เคยใช้ไหม ถ้าเคยใช้ผมบอกได้ แต่ไม่เคยผมก็บอกไม่ได้เหมือนกันครับ คงต้องลองๆกันไป เพราะผมรู้นิดๆหน่อยแค่นั้นนะครับ
.

 โปรดอย่าถามเลยครับว่า ชีวะภาพ กับเคมีอันไหนดีกว่า เพราะมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับพืชที่นำมาใช้นะครับว่าใช้กับอะไรแล้วใช้อะไรมันถึงเหมาะกว่า แต่เราใช้ผสมผสานกันได้ครับ
.

อ่อ ส่วนเรื่อง ฮอโมนไข่ และฮอโมนนมสดนั้น อยากให้ลองค้นหากันดูครับ
.

เพราะผมดูแต่คลิป
ส่วนเรื่องอันไหนถูกแพงก็ลองๆเซิสหาดูคร่าวกันไปก่อนครับแต่ก็น่าจะเข้าใจ(นะ)
ของแบบนี้ต้องลองครับ ถ้าดูข้อมูลแล้วอยากทำเองหรือจะซื้อเอาก็ว่ากันไป อิอิ

22 นอกเรื่องขอพูดเรื่องไม้ดอกสวยๆซื้อมาไม่กี่วันตาย

หลายๆคนซื้อไม้ดอกสวยๆมาสวยได้ไม่กี่วันมันก็จากไปแบบ ร่วงหมด เหี่ยวแบบไม่มีสาเหต
คือคนขายมักไม่ได้บอกหรือคนซื้อก็ไม่ได้ถาม เลยกลายเป็นว่า หลอกลวง

จริงๆ ไม่ได้หลอกลวงแต่คนขายลืมบอกให้ใส่ยากันเชื้อราด้วยนะครับ เดี๋ยวนี้เครื่องปลูก เน้นกากมะพร้าวเป็นส่วนใหญ่ บางเจ้าอาจผสมดินมาบ้างใช้ แกรบ เปลือกไม้ บ้าง แต่ คนขายมักลืมบอกว่า ถ้าเอาไปไม่เปลี่ยนกระถางผสมดินหรือเอาลงดิน เลี้ยงแบบนี้มันต้องใส่ยาป้องกันเชื้อราด้วย

รดน้ำอย่างเดียว ยากันเชื้อราหมดฤทธิ์ ก็ราจับที่ราก เน่าตาย

รดฉ่ำเกินไปคือวัสดุปลูกพวกกากมะพร้าวแห้งยาก จึงควรรดเฉพาะเช้าอย่างเดียว

ส่วนปุ๋ยนั้น เค้าใส่มาให้อยู่แล้ว ซื้อมาแล้วไม่ต้องใส่ซ้ำครับ เพราะจะทำให้ไม้ดอกสวยๆที่ซื้อมาตายได้เพราะปุ๋ยมากเกินไป

วัสดุปลูกเป็นกาบมะพร้าว อมน้ำ จึงรดน้ำครั้งเดียวทุกๆกี่วันตามไม้ดอกเลยครับ ปรกติ 2-3 วันรดครั้งถ้าไม่เปลี่ยนเครื่องปลูก กุหลาบ 3-5รดครั้ง

แต่ถ้าเอาลงดิน หรือเปลี่ยนวัสดุปลูก ผสมดินลงไปอัตตราส่วนครึ่งๆ รดน้ำวันเว้นวันพอ รดครั้งเดียวพอ เพราะกากมะพร้าวอยู่ตั้งครึ่งมันอมน้ำ

ถ้าวัสดุปลูกเป็นดินล้วนๆ(ไม่ค่อยมีนอกจากไม้ผล)แบบนี้รดน้ำทุกวันยากันเชื้อราแทบไม่ต้องใส่

ไม้ดอกสีสวยๆสดๆ ถูกๆไม่แพง แต่ทำไมเอามาบ้านแล้วเลี้ยงไม่รอด นี้คือ 1 ในสาเหตนะครับ ส่วนปัจจัยอื่นๆ แสงไม่พอไว้ในที่ร่มเกินไป หรือไว้ในที่แดดจัดเกินไปก็ต้องดูเป็นไม้ๆไปนะครับ ว่าแต่ละไม้ดอกไม้ประดับสภาพแบบไหนเหมาะกับเค้า

ถ้าอยากเลี้ยงให้รอดคือเปลี่ยนวัสดุปลูกเป็นดินครับ ดินร่วนที่ขายเป็นถุงๆ หรือหาได้เอาจากแถวๆบ้านที่มีดิน ถ้าอยู่ในเมืองหาดินไม่ได้ก็ดินครับ 

ถ้าไม่อยากยุ่งกับสารเคมี ใช้สารชีวะภาพก็ได้ครับในการป้องกันเชื้อรา

 เราก็จะซื้อไม้ที่ชอบอยากให้อยู่นานๆเปลี่ยนวัสดุปลูกอย่างระมัดระวังราก ต้นใบดอก คือทำด้วยความนุ่มนวลอย่าใจร้อน ใช้น้ำรดหรือพรมให้วัสดุปลูกหลุดร่วงหรือเอามือเแกะได้โดยง่ายๆไม่ต้องออกแรง หรือเอาน้ำฉีดครับ อย่าเสียดายปุ๋ยที่เค้าใส่มา

แค่นี้ก็สามารถเลี้ยงให้รอดได้แล้วละครับ

--------------------
ส่วนเหตผลที่ไม่ใช้ดินเป็นวัสดุปลูก มันทำให้น้ำหนักเบานะครับใช้ดินน้ำหนักกระถางมันหนัก ไม่ค่อยสะดวกในการขนย้ายเพื่อการจำหน่าย  จึงนิยมใช้วัสดุอื่นๆแทนดินเพื่อสะดวกในการขนย้ายและรากต้นไม้กระจายได้ทั่วกระถางดี  แต่ข้อเสียคืออย่างที่บอก รามันเกิดง่ายทำให้ต้นไม้ตายเอาง่ายๆถ้าลืมรดยากันเชื้อรา

หวังว่าคงจะได้คำตอบแล้วนะครับ

แถมๆอีกนิด

เออ เดี๋ยวนี้มีมือถือ อัดเสียงอัดคลิป เวลาถามแม่ค้าพ่อค้าต้นไม้ด้วยก็ดีครับ จะได้จำได้ว่าต้นนี้ชื่ออะไร เลี้ยงยังไง ดูแลแบบไหน จะได้หาที่ๆเหมาะๆหรือเหมาะกับที่ที่ท่านได้เตรียมไว้


ก็อย่างที่บอกไปตะกี้นี้ เห็นๆสวยๆซื้อมา แต่เราอยากให้อยู่นานๆ ก็ต้อง ค้นคว้าหาความรู้นิด1 ไม้ดอกสวยๆจะได้อยู่กับเราไปนานๆ

ออ ไม้ดอกสวยๆ หลากหลายสายพัน ถามก่อนเน้อ บางสายพันชอบแดดแรงๆ บางสายพันชอบแดดแรงพอประมาณ บางสายพัน แดดพอมีนิดๆหน่อยๆ

ฉะนั้นอย่าเกรงใจคนขายถามก่อนซื้อ แน่ใจแล้วค่อยเอามา okนะ อิอิ

20 ปุ๋ยเคมีถ้าเราใช้เกินขนาด

คือฉลากปุ๋ยจะบอกเสมอๆครับ ว่า ตั้งแต่กี่กรัมถึงกี่กรัม ต่อน้ำ กี่ลิตรก็ว่าไป

ถ้าผสมน้ำเต็มลิตร ผสมปุ๋ยเต็มที่ฉลากบอกหรือข้างขวดบอก โอกาสเกินมีนิดหน่อยครับ

เพราะว่า ผู้ผลิตกันการเผื่อเราตักตวงผิดพลาดกะปริมาณน้ำผิดพลาดนั้นเองครับ



ส่วนรดถี่เกินไป คือต้องคำนวนก่อนว่าใช้ปุ๋ยเกินจริงไหม หรือมันแค่พอดี น้ำขาดไม่เต็มลิตรมากไหม ต้องคำนวนตามเป็นจริงๆ

ดูตามฉลากว่าเค้ามีเผื่อมาไหมถ้าเขียนเผื่อมาเช่น 7-10 วันครั้ง แสดงว่า 7 วันก็ได้ไม่ต้องรอถึง 10 วัน ก็รดปุ๋ยได้โดสไม่เกินที่ต้นไม้รับได้

ส่วนภาชนะที่บรรจุน้ำว่ามาตราฐานไหมเรานึกว่าใส่น้อยแต่จริงๆมันพอดีแล้ว หรือใส่เต็มภาชนะก็เกินพอดีนิดหน่อย

ถ้ารดทุกวันเกินแน่ๆหรือ3-4วันครั้งเกินแน่นอน ถ้าไม่ลดจำนวนปุ๋ยลงครึ่ง 1 แต่อาจเห็นผลน้อยถ้าต้นไม้รับไหวหรือปรับสภาพได้

.
กรณีที่เกินจริงๆ ต้นพืชรับไม่ไหวเดี๋ยวจะมีอาการฟ้องเอง ใบไม้ต้นใหม้ เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล แห้งตาย รากใหม้ ราดหดหรือเหี่ยวแห้งตายไปเลย หรือใบปนเหลืองมากใบร่วงทั้งต้น
.
ถ้าไม่อยากให้ต้นพืชได้รับอันตรายจากปุ๋ยเป็นกรดแรงเกินควร กะให้เป๊ะหรือใช้น้อยหน่อย อย่าใช้เต็มโดสปุ๋ย

สรุปการใช้ปุ๋ยเคมีจึงต้องระวังใส่เกินครับ  ถ้าเกินแล้วท่านจะเสียกล้วยไม้สุดโปรดของท่านไป จึงควรใช้

โดสต่ำๆไว้ก่อน เช่น 1-2 แกงต่อน้ำ 5 ลิตร ก็ใช้ช้อนเดียวพอไม่ต้องถึง 2 ช้อน รด 7วันครั้ง
 ถ้าลืมรดปุ๋ยไปสองอททิตย์ ก็รดครั้งเดียวขนาดปุ๋ยเท่าเดิม ไม่ใช่ขาดปุ๋ยไป 2อาทิตยืแล้วต้องรีบรอดชดเชยเพิ่มปุ๋ยเพิ่มวันรด คือไม่ถูกต้องครับ  ห้ามรดชดเชย อย่างเด็ดขาดเดี๋ยวเกินโดสปุ๋ยกล้วยไม้ได้รับปุ๋ยเกินไปครับ


ส่วนปุ๋ยชีวะภาพก็เช่นกันครับ เกินมากๆพืชก็ตายได้เช่นกัน ฉะนั้นอย่าเสี่ยงโดยไม่จำเป็นครับ นอกจากเปลืองปุ๋ยแล้วยังได้ผลเสียกับกล้วยไม้อีก


19 การชั่งตวงปุ๋ยเคมี

ปรกติอ่านฉลาก ถ้ากำหนดเป็นช้อนชา ช้อนโตะ ลงเข้าใจและผสมกันถูกต้อง แต่ๆ

ที่นี้ปุ๋ยบางยี้ห้อกำหนดมาเป็นกรัม ซึ่ง 1 กรัมของปุ๋ยมากเท่าไรนั้น ต้องเอาตาชั่งแบบดิจิตอนจะมีความแม่นยำสูงแบบเอาไว้วัดกรัมโดยเฉพาะมาใช้เลย จะได้ความแม่นยำมากๆ
.
อ่อต้องชั่งภาขนะเปล่าๆชั่งก่อนว่าหนักเท่าไรจะเป็นชามจานหรือถ้วยก็แล้วแต่ ช่างได้แล้วจดไว้ว่าได้กี่กรัม แล้วบวก+จำนวนปุ๋ยที่จะช่างไปให้ได้ตามกำหนดที่เราจะใช้
.
สมมุติว่าอยากได้ปุ๋ยหนัก 10 กรัมผมน้ำ 20 ลิตร
ชั่งถ้วยแล้วถ้วยหนัก 3 กรัม อยากได้ปุ๋ย10กรัมต้องตักปุ๋ยให้ตาชั่งขึ้น 13 กรัม เป็นต้น
.
ถ้าเรามีช้อนตวงให้เอามาตักปุ๋ยเลยแล้วชั่งดู ว่าช้อนเบอรใดตักแล้วพอดีเต็มช้อน(คือปาดหน้าช้อนให้เรียบไม่มีการตักพูน หรือตักเกินหน้าตัดของช้อน) หรือไกล้เคียง ครั้งต่อไปไม่ต้องเอามาชั่งให้เสียเวลา (อย่าลืมชั่งช้อนเปล่าๆก่อนด้วยนะแล้ว+ปุ๋ยเข้าไปตามจำนวน)
.
ที่ต้องทำเช่นนี้เพราะปุ๋ยต่างยี้ห้อต่างสูตร มักมีน้ำหนักไม่เท่ากัน ยี้ห้อ 1 หนักมาก ตักนิดเดียว 5 กรัมแล้ว ยี้ห้อ 2 ตักมากหน่อยเพราะมวลเบากว่าถึงได้ 5 กรัม
.
 อ่อขวามือคือช้อนสำหรับช่างตวงกรณีที่ไม่อยากใช้ตาช่างอะนะ(รู้สึกราคาจะพอ สมควร)

18 กล้วยไม้หอม

กล้วยไม้หอม
คงเคยได้ยินกันใช่ไหมครับ แต่หลายชนิดก็ไม่หอม มีเพียงบางสายพันธุ์เท่านั้นที่ดอกหอม หอมมาก หอมน้อย หอมด้วยสวยด้วย ก็แล้วแต่สายพันธุ์ที่เพาะขึ้นมาได้ครับ
.

มีหลายพันธุ์ไม่จำกัดเฉพาะหวายครับ ไอยเรศ ออซิเดี่ยม ตะกูลเข็ม กุหลาบ เอื้องสาย แคตทริยา เป็นต้น แต่ที่ไม่ค่อยมีออกมาแยะเหมือนหวายเพราะ การกลายพันธุ์มันค่อนข้างง่าย คือ ถ้าแยกหน่อออกไปหน่อที่แยกอาจจะหอมน้อยลง หรือไม่หอมเลย
.

เลยต้องเพาะเลี้ยงเนื้อเยื้อเอาเนื่องจาก หอมแน่นอน แต่บางครั้งอาจกลายพันธุ์ได้เหมือนกัน พวกไม้หอมจึงหาได้น้อยหน่อยในตลาด
.

พอดีนึกออกเฉยๆนะครับ ว่าเคยมีไม้หอมๆ แต่ไม่อยู่สะแบ้ว (หลงให้คนอื่นไป) ถ้าชื่นชอบกล้วยไม้หอมๆก็เก็บไว้นะครับผม แต่อาจจะไม่สวยเหมือนไม้ที่ไม่หอม แต่มันมีเสน่ในตัวของมันครับ
.

ปล.บางสายพันต้องรอบานสุดช่อก่อนถึงส่งกลิ่น ตอนแรกผมก็ไม่รู้ครับ แอบบ่นๆอยู่เหมือนกัน เวลาจะรดน้ำพึ่งได้กลิ่นหลังจากที่รอดมมาเป็นเดือนๆ (มันบานมาจะเกือบเดือน) เลยถึงบางอ้อเลย ว่าบางสายพันธุ์ต้องบานสุดช่อก่อน แต่บางสายพันธุ์แค่ดอกแรกบานก็หอมแล้วละครับ

16 กล้วยไม้ดิน

กล้วยไม้ดิน

หลายๆคนเข้าใจว่า นิคือเอาลงดินได้ แต่ความเป็นจริงคือไม่ได้ครับต้องผสมอย่างอื่นในดินด้วยครับ เครื่องปลูกแค่มีส่วนประกอบของดินบ้างเท่านั้นครับ ถ้าดินล้วนๆ รอดยากครับผม
.

ลักษณะดอกของกล้วยไม้ดินมีคล้ายๆกล้วยไม้ทั่วไปบ้างจะแตกต่างไปบ้าง ไปแต่ละสายพัน
.

เครื่องปลูกควรโปร่งเหมือนกล้วยไม้รากอากาศครับ แต่กล้วยไม้ดินชอบความชื้นมากหน่อย ชอบแสงมากหน่อย แต่ยังไงๆไม่สามารถสู้แสงได้โดยตรง แต่ชอบไม้มากกว่ากล้วยไม้ชนิดอื่นครับ การพลางแสง 30-70 % ฉะนั้นสอบถามให้ดีก่อนซื้อครับ ว่าเค้าชอบแสงแบบไหน
.

บางสายพันธุ์เอาใส่ดินได้ก็จริงครับแต่ไม่ใช่ดินล้วนๆ มีส่วนผสมของหินภูเขาไฟหรือ ถ่าน เพื่อให้เกิดความ)โปร่งโล่งของดิน และช่วยในเรื่องการขยายหน่อด้วยครับ เพราะหน่อเค้าส่วนมากจะอยู่ในดินในเครื่องปลูก ซึ่ง ลักษณะคล้ายๆหัวหอมหรือกระเทียม หรือหอมแดงๆเป็นหัวๆ แต่คล้ายนะครับไม่เหมือนกันเลยสะทีเดียว บางสายพันธุ์แทบไม่เหมือนเลยก็มี
.

บางสายพันธุ์ออกดอกเป็นฤดูกาล บางสายพันธุ์ออกดอกทั้งปี และบางสายพันธุ์ ดอกหายต้นหายตามไปด้วย รอเวลาเค้างอกต้นมาใหม่จากหน่อด้วยเช่่นกันครับ ต้นหายอย่านึกว่าเค้าตายแล้วนะครับ เพราะบางครั้งโดนแมลงเล่นงานหรือต้นเกิดการช้ำจากอะไรก็ตาม เค้าจะงอกต้นใหม่โดยที่ต้นเก่าจะโรยลงไป (ย้ำนะครับว่าบางสายพันธุ์)
.

มีคนถามว่ามันง่ายกว่าไม้อากาศไหม ตอบว่าง่ายกว่า ปุ๋ยก็ให้ง่ายกว่า อัตราการตายจากเชื้อราน้อยกว่าแต่ก็ใช่จะไม่มีนะครับ ถ้าวัสดุปลูกแฉะข้ามวันข้ามคืน
.

การรดน้ำ ก็รดเช้าเหมือนกล้วยไม้อากาศครับ การให้ปุ๋ย จะให้เป็นปุ๋ยผสมน้ำหรือ ปุ๋ยเม็ด ก็ได้ครับ หรือทั้งสองอย่างเลยก็ได้ครับ เพราะการรดน้ำให้น้ำรดปุ๋ยเหมือนกับกล้วยไม้รากอากาศ
.

ถ้าท่านเลี้ยงแบบที่บอก ก็จะได้ดูดอกครับ ไม่ใช่ได้ดูแค่ใบอย่างเดียว
.

บางท่านเอาลงดินเลย ถามว่าตายไหมบางสายพันธุ์ไม่ตายครับ แต่โตช้าหน่อยก็แต่กช้า และเดี๋ยวต้นมาแป๊ปๆดอกบาน แล้วต้นก็แห้งไปรอต้นใหม่สะงั้น
.


12 เรื่องของการหลงฤดู

เรื่องของฤดูกาล บางทีเราก็หลอกกล้วยไม้ของเราที่ซื้อมาโดยไม่ตั้งใจ เพราะสภาพแวดล้อมการเลี้ยงดูที่ เหมือนเดิมๆทุกฤดูกาล บางที่เหมือนเดิมเกือบทั้งปี จนกระทั่้ง กล้วยไม้คิดว่า นี้คือช่วงเวลาฤดูเดียว
.

อย่างเช่นชื้นทั้่งปีไม่ เปลี่ยนแปลง หรือเปลี่ยนแปลงน้อยมากๆ หรือแห้งมากๆตลอดทั้งปีจนแทบไม่เปลี่ยนแปลง หรือไม่หนาวเลยแทบไม่หนาวเลยสำหรับในเมือง เพราะอากาศค่อนข้างจะอบอุ่น
.

ถ้า เราบังเอิญเอามาเลี้ยงถูกสายพันธุ์ที่เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ก็ดีไปครับเพราะ ออกดอกบ่อยๆออกดอกทั้งปี แต่ถ้าเราเอาเข้ามาผิดที่ผิดทางคือผิดฤดูที่เค้าจะออกดอกก็ไม่สามารถออกดอก ได้ครับ เพราะกล้วยไม้หลายๆสายพันธุ์จะออกดอกตามฤดูกาลของเค้า
.

แล้ว ที่นี้ เราจะอยากให้เค้าออกดอกแบบไม่ต้องรอฤดูละ ทำได้ไหม ทำได้ครับ แต่ไม่ใช่การเร่งปุ๋ยอย่างเดียว ต้องจำลองธรรมชาติในช่วงที่เค้าถึงฤดูออกดอก เค้าจะออกดอกอย่างที่เราหวังได้ครับ แต่ขึ้นอยู่กับเทคนิคของแต่ละท่าน
.

ยก ตัวอย่างช้าง ถ้าจะออกดอกก็ฤดูปลายหนาวหรือกลางหน้าหนาว เราเอาเข้าห้องเย็นปรับอากาศในยามค่ำคืนแล้ว มาไว้ในโรงเรือนที่สภาพอากาศแห้งในยามกลางวัน ทำให้โอกาศออกดอกนอกฤดูมีสูงกว่าปรกติมากๆครับ ขึ้นอยู่กับการบำรุงและจำลองฤดูกาลได้ดีแค่ไหน แต่ก็ไม่ได้กับทุกสายพันธุ์ครับและไม่ได้กับทุกๆต้น
.

แม้นว่า คนที่พยายามผสมสายพันธุ์จนบางสายพันธุ์ไม่มีฤดูกาลแล้วก็ตาม แค่สมบูรณ์พร้อมจะออกดอกเค้าก็ออกเลยไม่จำฤดูกาล
แต่ ว่าการกลายพันธุ์และสภาพแวดล้อมเป็นตัวบ่งขีได้ครับ ว่าเค้าจะออกดอกบ่อยหรือแทบไม่ออกเลย อันนี้ต้องศึกษาแต่ละสายพันธุ์ไปแบบเจาะจงครับ

4 ธาตุอาหารเสริมกล้วยไม้

นอกจากจะมีปุ๋ยแล้วเรายังต้องมีธาตุอาหารรองที่จำเป็นในการให้ในบางครั้งเพื่อความสมบูรณ์และแข็งแรงของกล้วยไม้

เดี๋ยวนี้มีออกมาขายหลายยี้ห้อหลายหลากชนิด ไปตั้งแต่แร่ธาตุรวม แร่ธาตุเฉพาะทาง หรือปุ๋ยที่มีส่วนผสมของแร่ธาตุลองด้วย

จึงต้องอ่านฉลากและวิธีการใช้ให้ถูกวิธี เพราะแต่ละยี้ห้อนั้น ความถี่ในการใช้ไม่เท่ากัน

ถ้าไม่ใช้ได้ไหม ได้ครับ แต่ไม่ไม่ทนต่อโรคและไม่ทนต่อสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน

ซึ่งแร่ธาตุหลายๆชนิดมีผลต่อการออกดอกให้ดกบานทนบานนานๆด้วย ถ้าอยากให้เป็นเช่นนั้นก็ต้องหาติดไว้ที่บ้านท่านบ้างครับ

เนื่องจากการเพราะเลี้ยงในฟาร์ม กล้วยไม้นอกจากได้รับปุ๋ยแล้วยังมีธาตุอาหารเสริมแร่ธาตุเสริมหรือปุ๋ยเสริมนั้น เอง

อาหารเสริมจึงเป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกันแม้จะสำคัญรองลงมาจากปุ๋ยก็ตาม แต่มีผลต่อความสมบูรณ์ของกล้วยไม้

กระผมจึงอยากให้มีติดบ้านไว้ใช้กับกล้วยไม้ของท่านซึ่งเวลาซื้อ ควรอ่านก่อนซื้อศึกษาก่อนซื้อครับว่า ราคาและการเอามาใช้ว่าเหมาะกับกล้วยไม้ของท่านหรือไม่

เพราะบางยี้ห้อจะระบุไว้เลยว่า ใช้กับกล้วยไม้ชนิดใดเหมาะบ้าง ชนิดใดไม่เหมาะบ้าง เพื่อจะได้ซื้อมาไม่เสียเปล่าหรือใช้แล้วไม่ค่อยได้ผลนั้นเอง

ธาตอาหารเสริมหรือธาตุคร่าวๆ
 ธาตุอาหารรอง(Secondary nutrients) แคลเซียม(Ca) แมกนีเซียม(Mg) กำมะถัน(S)

 จุลธาตุ(Micronutrients or trace elements) สังกะสี(Zn) เหล็ก(Fe) แมงกานีส(Mn) โบรอน(B) ทองแดง(Cu) คลอรีน(Cl) โมลิบดินัม(Mo) นิคเกิ้ล(Ni)


ปล.คือต้องอ่านนิด1 เพราะบางยีมันมีเสริมเข้าไปอีกด้วยนอกจากที่กล่าวมา   เพราะจริงๆมีถึง 53 ธาตุ แต่คงไม่ต้องถึง 53 ธาตุก็สามารถทำให้กล้วยไม้แข็งแรงและมีอายุยืนนานได้ ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตว่าจะผสมธาตุอะไรเสริมเข้าไปบ้าง เพื่อให้เหมาะกับพันธุ์ไม้นั้น 

จึงต้องอ่านฉลากเอานะครับ จะได้ไม่ซื้อซ้ำช้อน



วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2559

1 หัดเลี่ยงกล้วยไม้เบื้องต้น

สำหรับผู้ที่สนใจและชื่นชอบในกล้วยไม้ในแต่ละสายพันธุ์ ไม่ว่าท่านจะเห็นแล้วซื้อจากที่ไหนก็ตาม หรือได้มาจากแหล่งใดก็ตาม 

จึงต้องทำความเข้าใจกับไม้ที่ซื้อมาว่าสายพันธุ์ใด ชอบแสงอ่อนๆมากแค่ไหน ร่มมากไปดอกไม่ออก ชื้นมากไปอาจจะเน่าตาย รดแต่น้ำปุ๋ยไม่ให้เลยก็เหี่ยวตายไปเรื่อยๆ

เราไม่สามารถฝืนให้กล้วยไม้อยู่ตามใจเราได้เพราะเค้าจะตาย จึงต้องตามใจกล้วยไม้เพื่อให้เค้าอยู่รอดออกดอกสวยงาม และเลี้ยงเค้าอย่างถูกต้อง จึงจะแข็งแรงสมบูรณ์พร้อมออกดอกมาให้ชม

สำหรับสายพันธุ์แต่ละไม้นั้นเป็นตัวกำหนดการพลางแสงหรือที่เหมาะสมในการเลี้ยง อย่าง หวาย ต้องการแสง 30-40 % ถ้าเราเอาไว้ร่มเกินไป ดอกไม่ออก เพราะแสงไม่พอ หรือเอาไว้ที่แดดแรงเกินไป คือไม่พลางแสงให้เลย ใบจะใหม้ต้นจะเหี่ยวตาย เป็นต้น

ถ้าไม่พลางแสงแต่เราเอาไปแขวนกับต้นไม้ใหญ่เลียนแบบธรรมชาติ ก็ได้อยู่เหมือนกันแต่ต้องแน่ใจว่าแดดไม่ส่องโดนตรงๆไม่งั้นก็ไม่รอดเช่นกัน

ส่วนของเรื่องสถานที่ปลูกเลี้ยงนั้นทุกสายพันธุ์ชอบอากาสไหลเวียนดีคือมีลมพัดอ่อนๆไม่อับไม่ชื้นเกินไป กล้วยไม้ชอบอากาสเย็นสบายๆเหมือนคนเรา ร้อนเกินคายน้ำมากๆต้นเหี่ยว ชื้นเกินป่วยง่ายๆราถามหาโรคจะตามมาต้องมาหายาแก้ซึ่งถ้าไม่ซื้อไม่หา จะไม่รอดแน่นอน
 

การรดน้ำให้ตามแต่ละสายพันธุ์และวัสดุที่เอามาเป็นเครื่องปลูก 

รดน้ำตอนเช้าครั้งเดียวสำหรับไม้ที่มีเครื่องปลูกอมน้ำพอประมาณอย่างกาบมะพร้าว

รดครั้งเดียวต่อสัปดาสำหรับเครื่องปลูกด้วยสแฟกนั่มมอสที่อมน้ำมากๆระเหยน้อยๆ

รดสองวันสามวันครั้งสำหรับสายพันธุ์ที่ไม่ชอบน้ำไม่ชอบความชื้นมากๆแต่ชอบชุ่มๆในการรดครั้งเดียว

รดเช้ารดบ่ายสำหรับไม้ที่ไม่มีเครื่องปลูก แต่อุณหภูมิน้ำอย่าให้เย็นเกินเพราะไม้จะช๊อคได้เวลารดตอนบ่าย

เป็นต้น

ไม่ควรลดน้ำช่วงบ่ายจัดๆคือหลังบ่าย 3 เพราะทำให้ความชื้นเกาะยาวไปถึงหัวค่ำซึ่งทำให้เกิดราและรานำพาโรคหรือไวรัสมาทำความเสียหายกล้วยไม้ได้

คือหลักการง่ายๆ รดให้เปียก ปล่อยให้แห้งในช่วงกลางวัน กลางคืนควรแห้งไม่ควรเปียก ถ้ามันเปียกในหน้าฝน คือเราต้องหายาฆ่าเชื้อรากันเชื้อรามาฉีดพ่นดักไว้เลย 

นอกจากในเบื้องต้นแล้วยังต้องให้ปุ๋ย ให้ปุ๋ยคือการรดน้ำผสมปุ๋ย แทนการรดน้ำเปล่าทุกๆ 7-10 วันครั้ง
คือรดน้ำเปล่า 6 วัน หรือ9วัน วันที่ 7 หรือวันที่ 10 ผสมปุ๋ยในน้ำแล้วรดกล้วยไม้นั้นเอง เพื่อให้เค้าได้รับปุ๋ยมาปรุงอาหารและเก็บอาหารในลำต้นเพื่อให้เค้ามีแรงออกดอก

ปุ๋ยหลักๆคือปุ๋ยสูตรเสมอ ปุ๋ยเคมี npk ธรรมดาๆที่มีขายกันอยู่ทั่วไป แต่เราเลือกเอาชนิดที่เอามาผสมน้ำหรือชนิดน้ำ เพื่อสะดวกในการผสมปุ๋ย
ส่วนการใช้ปุ๋ยขอพูดในบทความต่อไป

ขอสรุปเบื้องต้นคร่าวๆสำหรับการหัดเลี้ยงก่อนว่า การจะให้อยู่รอดและแข็งแรงออกดอกจึงต้องคำนึงถึงแสง น้ำและความชื้น  ปุ๋ย ยาฆ่าเชื้อรา และความพร้อมในการดูแล ซึ่งถ้าขี้เกียดหรือไม่มีเวลาว่างพอหรือชอบลืมรดน้ ำควรติดตั้งระบบรดน้ำอัตโนมัตไว้

ปล.ถ้าอยากให้ไม้ที่ท่านชอบจะต้อง ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อให้เหมาะกับสายพันธุ์นั้นๆที่ท่านชื่่นชอบ

3 การให้ปุ๋ยแต่ละฤดุกาล

ปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยวิทยาศาสตร์ หรือ ปุ๋ยอนินทรีย์  ปุ๋ยแบบนี้ ประกอบด้วยแร่ธาตุอาหาร 3 ชนิด ที่พืชต้องการมากที่สุกคือ ไนโตรเจน (N) , ฟอสฟอรัส (P), โพแทสเซียม (K) ซึ่งแร่ธาตุทั้ง 3 ชนิดนี้ ถือ เป็นอาหารหลักที่ต้องใช้เป็นประจำ และใช้เป็นจำนวนมาก หรือเรียกย่อๆว่า ปุ๋ย NPK

ซึ่งผู้ผลิตปุ๋ยขายแต่ละเจ้านั้นมักจะนำมาผสมรวมกัน รวมไปตามสูตรที่ใช้กับกล้วยไม้

มีปุ๋ยที่แนะนำด้วยกัน ประมาณ 5  สูตรคือ

1.สูตรเสมอ N-P-K เท่ากัน เช่น 18-18-18,20-20-20 ,21-21-21 เป็นต้น

2.สูตรเร่งดอก เช่น 15-30-15 สำหรับฉีดกระตุ้นตาดอก ในไม้ที่หน่อสุดแล้ว

3.สูตรขั้นบันได ได้แก่ 10-20-30 และ 16-21-27 ช่วยด้านความแข็งแรงของลำต้น และ การออกดอก  ในกรณีที่แสงน้อย

4. สูตรตัวหน้าสูง เร่งโต เพิ่มความอวบของต้นไม้ เช่น 30-20-10

5. สูตรเร่งใบให้ใบสมบูรณ์ กระตุ้นสำหรับไม้ที่เฟ้อใบจนเกินไป 6-20-30



ปุ๋ยกล้วยไม้  ที่ใช้กันโดยมากจะเป็นปุ๋ยเคมี  แบบเกล็ดละลายน้ำ  และปุ๋ยน้ำ  ที่สำคัญต้องดูที่สูตร

สูตรปุ๋ยที่ควรมีประจำติดบ้านคือ  สูตรเสมอ เช่น 21-21-21 และ สูตรขั้นบันได เช่น 16-21-27 หรือ 10-20-30

ปกติแล้ว ที่แนะนำคือ ใส่สลับกัน สูตรเสมอกับสูตรท้ายสูง ทุก 7-10 วัน

เช่น วันที่ 1 ใส่ปุ๋ยสูตร 21-21-21 ,พอวันที่ 8 ให้เปลี่ยนเป็นปุ๋ยสูตร 16-21-27 ,และพอถึงวันที่ 15 ก็กลับมาใช้สูตร  21-21-21 สลับกันไปแบบนี้ เรื่อยๆ

สิ่งสำคัญคือ  ต้องใส่ปุ๋ยให้สม่ำเสมอ  ใช้ในอัตราส่วนที่พอเหมาะ ตามฉลาก  และใส่ปุ๋ยในช่วงเช้า  วันที่อากาศสดใส เพื่อการดูดซึมที่ดี ถ้าในตอนบ่าย3-4 โมงรากแห้งมากๆหรือเครื่องปลูกแห้งจนเกินไป พ่นน้ำเปล่าๆ แค่พอชุ่มๆให้ทันแห้งตอนเย็นๆ 6 โมง ก็จะทำให้กล้วยไม้สดชื่นได้ ให้น้ำนะครับไม่ใช่ให้ปุ๋ย 

 เพียง 2 สูตรนี้  ก็ทำให้ต้นงามและเห็นดอกได้แล้ว   แต่ถ้าท่านผู้เลี้ยงประสงค์จะให้สูตรอื่นๆ  ก็ทำได้


การให้ปุ๋ยในแต่ละฤดูกาล
หน้าร้อน
เราใช้ ไปตามอายุไม้ ไม้เล็กใช้ตัวหน้าสูงสลับตัวท้ายสูงเพื่อให้สมดุลระหว่างต้นและใบ
ไม่โตเราใช้สูตรเสมอสลับปุ๋ยตัวกลางสูงเพื่อให้ออกดอก ตัวท้ายสูงหรือปุ๋ยขั้นบันได เพื่อหลังดอกออกช่วยให้ลำต้นสะสมอาหาร

หน้าฝน
ถ้าไม้เล็กใช้สูตรเสมอสลับตัวท้ายสูง
ไม้โตใช้สูตรกลางสูงท้ายสูง หรือขั้นบันใด เพราะหน้าฝนมีในโตรเจนมาก ตัวหน้าสูงจึงไม่เหมาะพราะทำให้ต้นยึดเกินไป ส่วนสูตรกลางสูงท้ายสูง สลับใส่บางครั้ง

หน้าหนาว
ถ้าไม้เล็กให้ตัวหน้าสูงสลับสูตรเสมอและตัวท้ายสูง
ไม้โต สูตรเสมอสูตรขั้นบรรใดสูตรตัวกลางสูงและตามด้วยสูตรตัวท้ายสูงบ้าง

นี้คือคร่าวๆของการใช้ปุ๋ยในแต่ละช่วงฤดุกาล อย่างหน้าร้อนจะเร่งอวบก่อนด้วยตัวท้ายสูงปลี่ยนเป็นตัวกลางสูงเพื่อเร่งดอก พอดอกออกเป็นสูตรเสมอ หรือสูตรขั้นบรรใดก็ได้ การใช้ปุ๋ยจึงไม่มีตายตัวขึ้นอยู่กับชนิดของกล้วยไม้และความต้องการ ซึ่ง ต้องเข้าใจอยู่อย่าง 1 คือ ไม้เล็กอย่าไปเร่งออกดอก จะ


วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2559

15 กล้วยไม้ช้าง สำหรับมือใหม่ ควรจะเลือกแบบใดดี

กล้วยไม้ช้าง สำหรับมือใหม่ ควรจะเลือกแบบใดดี ตอน 1

เพราะมีหลายท่านสงสัยว่า
แบบพันขอนมาหรือแป๊ะมาบนแผ่นไม้ กับแบบใส่กระถางมา อันไหนน่าจะดีกว่า แล้วที่มีเครื่องปลูกกับไม่มีอันไหนดีกว่า

ขอตอบว่า
ซื้อติดขอนท่านเหมาะเอาไปผูกต้นไม้ใหญ่หรือไม่ก็เอาไว้เปลี่ยนขอนเวลาที่เค้าโตขึ้นมากกว่าเดิมมากๆสมควรจะเปลี่ยนขอน ส่วนจับมาใส่กะถางถ้าสะดวกทำก็ทำครับ แต่โดยมากมักจะไม่เหมาะเพราะรากเค้าจะไม่สามารถลงกระถางได้เพราะออกไปทางข้างต้นมากกว่าทิ้งลงดิ่ง อาจต้องยอมเสียรากบางส่วนเพื่อจัดลงกระถาง
.
ซื้อแบบกระถางมา ก็เลี้ยงแบบนั้นได้เลยเพราะเมื่อเค้าโตจนใหญ่กว่ากะถางก็ไม่เป็นไรครับเปลี่ยนลวดให้ยาวขึ้นเพื่อสามารถแขวนเค้าต่อไปได้หรือเปลี่ยนเอาอะไรมาลองด้านล่างเพื่อไม่ให้ลวดบาดรากหรือต้นอย่างเชั่นขอนไม้เล็กๆครับ เพื่อให้พยุงเค้าต่อได้ก็เพียงพอแล้วละครับ หรืออยากเอาไปติดกับขอนไม้ใหญ่ๆ หรือต้นไม้ใหญ่ๆ ก็ทำได้ครับ

ซื้อแบบกระถางที่มีเครื่องปลูกเป็นถ่านหรือวัสดุอื่นๆติดมาในกระถางด้วย ก็ถ้ามาแบบไหนเราก็เลี้ยงเค้าไปแบบนั้นครับ เพราะเค้าชินกับเครื่องปลูกแบบนั้นก็ไม่ต้องไปเอาออกครับ

-----------------------------------
ส่วนขนาดในการเลือกซื้อควรซื้อไม้ที่พร้อมจะมีดอกคือมีก้านดอกออกมาแล้วหรือกำลังที่จะบานหรือบานแล้วก็ได้ครับ
ไม้เด็กๆไม้นิ้วไม่แนะนำครับเพราะมือใหม่จะดูแลยากและอาจจะเบื่อเพราะช้างโตช้าครับ ยิ่งสภาพไม่เหมาะสมกับเค้ายิ่งโตช้าหรือแทบจะไม่โตเลยก็มี เช่นแสงน้อยไป รดน้ำน้อยไป ปุ๋ยไม่ถึง(ให้มั่งไม่ให้มั่ง)จะทำให้หมดกำลังใจไป
----------------------------------------------
กล้วยไม้ช้างก็มีสายพันธุ์แยกย่อย หลายสายและมีการผสมเพื่อให้ได้คุณสมบัติพิเศษจนต้องมีรหัสไม้หรือรหัสเจ้าของคนที่ผสมขึ้นมานะครับ ไม่มีรหัสคือไม้ทั่วๆไปราคาปรกติ ส่วนพวกที่มีรหัสมีตังแต่ราคาธรรมดาจนไปถึงไม้ที่ราคาแพงเวอร
มือใหม่ผมแนะนำให้ลองเลี้ยงพวกไม่มีรหัสราคาไม่แพงดูก่อนครับ เลือกต้นใหญ่หน่อยก็ดีครับเพราะโอกาสที่เราจะรักษาเค้าไว้ได้มีสูงครับ ดีกว่าต้นเล็กๆแน่ๆนอนครับผม

-----------------------------------
เดี๋ยวไว้โพสต่อไปครับยังไม่จบ

กล้วยไม้ช้าง สำหรับมือใหม่ ควรจะเลือกแบบใดดี ตอน 2

ตอนที่ซื้อควรถามครับว่าช้างนี้คือช้างอะไรและการดูแลอย่างไร
.

เพราะหลักการคล้ายกันก็จริงในการเลี้ยงแต่ก็มีที่แตกต่างไปตามเจ้าของฟาร์มหรือเจ้าของสวนที่เค้าเพาะขึ้นมา แต่ถ้าซื้อกับคนที่รับมาขายต่อแล้วเค้าไม่สามารถบอกได้เราก็ค่อยมาค้นคว้าเอาก็ได้ครับเพราะหลักการเลี้ยงเหมือนๆช้างทั่วๆไป เพียงแค่ดูทรงรู้ชื่อสายพันธุ์แล้วก็หาข้อมูลได้ไม่ยากจากในเนต
-------------------------------------------------------------------

เวลาดูไม้เราควรดูไม้ที่มีตำหนิน้อยสุด จะบอกว่าช้างหาที่ไม่มีตำนิยากครับนอกจากไม้นิ้วไม้เด็กๆหรือไม้แรกรุ่นที่ไกล้จะมีดอก
.
เพราะไม้ที่สมบูรณ์มากๆตำนิน้อยๆ ราคาจะแพงและไม่ค่อยจะมีคนปล่อยในราคาปรกติซึ่งเค้าจะเอาไว้ประกวดซึ่งหลังจากประกวดแล้วราคาจะสูงขึ้นไปอีก
หรือแยกเป็นไม้คัดเกรดซึ่งบางทีส่งนอกครับหรือไม่ก็ราคาสูงหน่อย ถ้าชอบก็หามาได้ครับ
.
---------------------------------------------------------
ส่วนตำนิยังไงที่ซื้อได้ ตำนิแบบไหนไม่ควรซื้อ
.
คืออันนี้ต้องดูให้เป็นแต่การจะดูให้เป็นเราต้องรู้จักโรคกล้วยไม้ที่เกิดขึ้นกับกล้วยไม้ช้างก่อน ว่าอันไหนอันตราย ไม่ควรซื้อเลย อย่างเช่น
.

โรคเน่าเละ เห็นช้ำหรือแตะแล้วนิ่มเละ คือไม่ต้องเอามาครับ
โรคเน่าดำ โรคยอดเน่า หรือ โรคเน่าเข้าไส้ ดูตาเปล่าน่าจะเห็น
โรคราเมล็ดผักกาด มีใยๆแล้วมีเม็ดๆขาวๆที่บริเวณโคนต้นหรือซอกใบโคนใบไม่ต้องเอามาครับ
โรคแอนแทรกโนส ใบจะเป็นแผลวงกลมสีน้ำตาลอมแดงหรือสีน้ำตาลไหม้ และมีแววรุกรามแผลไม่แห้ง อย่าเอามาเพราะมันแพร่กระจายสู่ต้นอื่นได้
โรคใบจุดดำๆ บริเวณตรงกลางแผลจะมีตุ่มนูนสีน้ำตาลดำทุกใบ อย่าเอามาครับรามไปต้นอื่นได้
โรคใบจุดแดง มีลักษณะคล้ายแอนแทรกโนสแต่มันเป็นรายสีแดงไปตามใบเป็นดวงๆ
ใบปื้นเหลือง จะเป็นปื้นสีเหลืองๆที่สีใบ เหมือนคราบเหลืองแต้มอยู่ในใบ
.

เป็นต้นที่สามารถดูด้วยตาเปล่าๆได้ โรคที่เกิดจากไวรัสจะดูยากไปแต่ถ้าดูเป็นก็ดูด้วยก็ดีครับ
....................
ส่วนที่มีตำนิแต่ซื้อได้
ขอบใบแหว่ง หรือมีลอยแมลงเจาะแต่แห้งไม่รุกราม มีคราบเหมือนเปือนฝุ่นที่โคนใบหรือต้น ใบแหว่ง หรือเคยโดนตัดใบล่างๆมา

พยายามดูตำนิที่น้อยที่สุดเท่าที่จะดูได้ครับ
สำคัญมากๆคือดูรากครับ เพราะรากสำคัญอันดับ 1 เลย ถ้ารากสมบูรณ์ไม่เหี่ยวย่นมากปลายรากยังสด หรือรากใหญ่แตกปลายย่อยๆมากแสดงว่ารากแข็งแรง ถ้าหน้าหนาวปลายรากจะหดไม่เป็นไรครับดูรากว่ายังขาวอยู่ไม่ย่นหรือย่นน้อยครับ รากยิ่งยาวรากสดรากแตกมากโอกาสโตเร็วกว่าต้นที่รากน้อยหรือมีรากที่แห้งๆอยู่แยะครับ

สรุป ดูใบ ดูต้น ดูราก ดูราคา ดูความชอบไปตามสีดอกและรูปทรงต้น ก็จะทำให้ท่านเลี้ยงช้างดูแลช้างได้อย่างมีความสุขครับ (เออว่าแต่ช้างตรูอยู่ไหนเนี่ยลืมแขวนไว้ไหนหว่า555)+

11 ข้อดีข้อเสียของ ปุ๋ยเคมี และ ชีวะภาพ คร่าวๆ

ข้อดีข้อเสียของ ปุ๋ยเคมี และ ชีวะภาพ คร่าวๆ

ข้อดีของปุ๋ยเคมี

1 ใช้สะดวกได้ผลสม่ำเสมอและแน่นอน
2 ปราสจากสิ่งเจอปน
3 ไม่มีกลิ่นฉุนรุนแรง
4 เก็บได้นานถ้าเก็บถูกวิธี
5 ค่าความเข้มข้นปุ๋ยแน่นอนเด่นชัดผสมอะไรมาบ้างฉลากมีบอกหมดผสมเท่าไรก็เท่านั้นแป๊ะๆ
6 การใช้ผสมหรือจะปรับสูตรก็ง่ายดาย อัตราส่วนชัดเจนไม่ผิดพลาด
7 หาซื้อได้ง่าย
8 ตามฟาร์มเพราะเลี้ยงใช้เคมีเราใช้เคมีต่อไม่มีปัญหา

ข้อเสียปุ๋ยเคมี

1 ใช้ไปนานๆพืชอาจดื้อปุ๋ยต้องใช้เคมีบางตัวช่วยให้พืชกินปุ๋ยซึ่งจัดอยู่ในพวกอาหารเสริมพืช คือต้องใช้อาหารเสริมเป็นบางครั้งบ้าง
2 ปุ๋ยตกค้างในที่ปลูกถ้าไม่ชะล้างทำความสะอาดบ้างหน้าฝนจะทำให้ปุ๋ยที่ตกค้างไหลมาโดนพืชที่ปลูกทำให้ปุ๋ยเกินต้นไม้จะทนไม่ไหว
3 เก็บรักษาไม่ดีอาจเสื่อมสภาพ
4 รบกวนสิ่งมีชีวิตหน้าดินทำให้สิ่งมีชีวิตหน้าดินบางชนิดย้ายที่อยู่

ข้อดีปุ๋ยชีวะภาพ

1.ใช้แล้วได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
2.ใช้ทดแทนเคมีได้
3.พืชไม่ดื้อปุ๋ย
4 สามารถทำเองได้ใช้ของเหลือใช้หรือของเสียในชุมชนมาทำ
5 สามารถต่อยอดดัดแปลงสูตรเพื่อให้ดีขึ้นได้
6 ถ้าทำเองจะประหยัดต้นทุน
7 ช่วยในเรื่องสิ่งแวดล้อม

ข้อเสียปุ๋ยชีวะภาพ

1.มีสิ่งเจอปนมากมีสารแขวนลอยสูง

2.เก็บรักษาไม่ดีเกิดเชื้อราได้ง่ายๆ และเชื้อราเรียกพักพวกราชนิดอื่นมาด้วยซึ่งจากราขาวธรรมดาจะมีโรคจากราชนิดอื่นเข้ามาแจมด้วย ถ้าลืมปิดฝานานราดำจะเข้าปุ๋ย และถ้าเอาปุ๋ยไปใช้ต่อจะเกิดราดำเกาะพืชพืชก็ป่วยตายดีไม่ดีไวรัสมาร่วมแจมด้วย จึงต้องระมัดระวังสูงมากๆในการเก็บรักษา

3.มีแมลงบางชนิดชอบกลิ่นปุ๋ยเมื่อใช้แล้วจะดึงดูดแมลงบางชนิดเข้ามา และกลิ่นปุ๋ยออกไปทางกลิ่นของเสียบูดเน่าหรือกลิ่นกากน้ำตาลหรือกลิ่นมูลสัตว์ ซี่งหลายๆท่านทนกลิ่นไม่ได้ 

4โดสของปุ๋ยไม่แน่นอนถ้าผู้ผลิตไม่เคยวัดค่าปุ๋ยเลย แรงบ้างอ่อนบ้าง หรือค่าปุ๋ยไม่ตรงตามมาตราฐานบ้าง

5ค่าความเป็นกรดเป็นด่างไม่แน่นอน ฉะนั้นจึงใช้ด้วยความระมัดระวัง ถ้าผู้ผลิตไม่ระบุหรือไม่มีความน่าเชื่อถือพอต้องระวังหรือวัดค่าปุ๋ยด้วยเครื่องมือหรืออุปกรณืที่หาได้

6ใช้แล้วผลไม่เท่าปุ๋ยเคมีอัตราการเติบโตและออกดอกดีไม่เท่าเคมี เกือบจะไกล้เคียง

7ปุ๋ยบางเจ้ามีจุรินซีในการย่อยสลายซากพืชดีมากแต่ดีเกินไปจนไปทำลายเครื่องปลุก ซึ่งใช้รดกับไม้ที่มีเครื่องปลุกต้องระวังให้มากๆอย่างพวกกาบมะพร้าว

8 กล้วยไม้บางชนิดไม่กินปุ๋ยชีวะภาพ เนื่องจากโตมาจากปุ๋ยเคมีทำให้กล้วยไม้บางสายพันธุ์ใช้การปรับสภาพนาน หรืออาจจะไม่รับปุ๋ยเลย ต้องอาศัยตัวช่วย หรือต้องเอาเคมีมาผสมร่วมก่อน หรืออาจต้องใช้สารดูดซึมเข้าช่วย

/////////////////

นี้คือคร่าวๆนะครับ ที่มาบอกเพราะยังเข้าใจผิดเรื่องปุ๋ยกันอยู่ ปุ๋ยเคมีใช้อย่างถูกวิธี เข้าใจก็ไม่ทำให้ดินเสียหรือมีปุ๋ยตกค้างตามเครื่องปลูก ปุ๋ยชีวะภาพใช่ว่าจะปลอดภัยต้องใช้ให้ถูกวิธีและการเก็บรักษา
.

การเก็บรักษาปุ๋ยหลักการทั่วไปคือ เก็บในที่แห้งไม่ร้อนอากาศถ่ายเทไม่โดนแดด ทั้งเคมีและชีวะภาพ
.

ส่วนเรื่องปุ๋ยแรงเกิน มันแรงเกินได้ทั้งชีวะภาพและเคมี ใช้ชีวะภาพใช่ว่าจะไม่แรงเกินไม่เป็นไร เป็นครับโดยเฉพาะปุ๋ยคอกปุ๋ยหมักที่ค่าความเป็นกรดเป็นด่างไม่แน่นอนแรงเกินบ้างน้อยเกินบ้าง
.

ฉะนั้นเครื่องมือวัดปุ๋ยอุปกรณ์วัดปุ๋ยจึงเป็นตัวชีชัดว่าปุ๋ยที่ใช้จะดีร้ายกับต้นไม้เพียงไร ต้องวัดค่าดูบ้าง เครื่องมือราคาไม่แพงก็มีขายครับถ้าไม่อยากลงทุนสูง จะเลี้ยงน้อยเลี้ยงมากไม่เกี่ยว มันเกี่ยวกับการดูแลเอาใจใส่กล้วยไม้ของท่านว่าอยากให้อยู่นานๆ หรืออยู่ได้ไม่นานครับ

6 เรื่องของการอ่านฉลาดปุ๋ย ยา อาหารเสริมพืช แร่ธาตุและ สารสะกัดต่างๆ



เรื่องของการอ่านฉลาดปุ๋ย ยา อาหารเสริมพืช แร่ธาตุและ สารสะกัดต่างๆ

ยกตัวอย่างเช่น ปุ๋ยบางชนิดผสมสารเร่งรากมาก เราก็ไม่ควรใช้สารเร่งรากซ้ำซ้อนครับ เพราะกล้วยไม้จะถูกเร่งรากให้งอกมากกว่าปรกติ ทำให้ต้นหรือใบเหี่ยวหรือใบร่วงเพราะขาดน้ำได้ครับ จะร่วงจากใบล่างขึ้นบน

หรือ ยาแก้โรคเน่าแก้เชื้อราบางชนิดหรือออโมนบางยี้ห้อ ผสมสารจับใบมาพร้อมใช้เลยครับ ฉะนั้นถ้าไม่อ่านดีๆผสมสารจับไปอีก คราวนี้ สารจับใบเกินขนาดที่เรียกว่า โดสยาเกินขนาด จะเกิดการเสียน้ำที่กล้วยไม้เหมือนโดนแดดมากครับ ดูดซึมเร็วก็จริง น้ำเกาะใบก็จริงแต่ก็หายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน จากยอดไปสู่ลำต้นและรากมายังเครื่องปลูกและหยดลงพื้น ซึ่งอาการที่ฟ้องคือใบเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลก้านดอกฝ่อ ใบอ่อนด้านบนแห้งเหียว(แห้งใบเขียวหรือใบเหลือง)
.
ยาบางตัวใช้ร่วมกับอีกตัวได้แต่ยาบางตัวต้องใช้โดดๆห้ามใช้ร่วมกับยาอื่นๆเพื่อหลีกเลียงปฏิกิริยาทางเคมีซึ่งจะให้ผลที่ตรงกันข้ามหรือผิดแปลกแตกต่างไป ซึ่งส่งผลเสียกับกล้วยไม้ได้โดยตรง บางชนิดกำหนดให้เว้นช่วงของการฉีดพ่นกับสารอื่นด้วยก็มีครับ เพราะไปฉีดรดสารเดิมที่อยู่ในกล้วยไม้ก็จะเกิดผลเสียต่อกล้วยไม้เช่นเดียวกันเพราะไปทำปฏิกิริยาทางเคมีในต้นในใบในราก ฉะนั้นต้องอ่านให้ดีๆครับและเผื่อวันสัก 3 วันเป็นอย่างน้อย

.

ส่วนเรื่องปุ๋ยนั้นก็สำคัญครับ บางทีเราอยากใช้ธาตุหลักและธาตุรองไปพร้อมๆกันแต่ไม่อ่านฉลากให้ดี ผสมแล้วโดสเกิน ทำให้กล้วยไม้ใบไหม้ต้องเปลี่ยนสีรากฝ่อแห้ง หรือใบร่วงแห้งทั้งต้นตายภายใน 1-2 วันเลยทีเดียว
.

อ่อ รวมไปถึง ปุ๋ยชีวะภาพเอามาร่วมกับเคมีแบบผสมผสานที่นิยมใช้กันอยู่ก็เช่นกันครับ บางยี้ห้อเราอ่านฉลากแล้วก็ต้องใช้เครื่องวัดเพื่อตรวจสอบค่าเป็นกรดเป็นด่างหลังจากผสมน้ำตามอัตราส่วนที่ฉลากเขียนบอกอีกทีว่า
.

ตรงไหม ไม่ตรง อ่อนเกินหรือเข้มข้นใบ ต้องผสมน้ำเพิ่ม หรือต้องมาคำนวนกันใหม่ และปุ๋ยชีวะภาพก็เช่นกัน ตรวจวัดด้วยเช่นกัน และเมื่อเอาทั้งสองอย่างมารวมกันก็ต้องตรวจวัดซ้ำอีกที
.

ถ้ามีไม่เครื่องตรวจวัดจะทำอย่างไร แนะนำให้ใช้แค่///เกือบครึ่งเดียวของฉลาก///ที่เขียนไว้ หรือไช้ครึ่งนึงตามอัตราส่วนของปุ๋ยที่จะมาผสมร่วม หรือน้อยกว่านั้นเช่น เศษ 1ส่วน 3 ใช้แค่สวนเดียวจากสามส่วนของจำนวนปุ๋ย
.

เราต้องเผื่อกันการผสมปุ๋ยเข้มข้นเกินแรงเกินจนกล้วยไม้เค้ารับไม่ไหวครับ ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆครับ เช่น
.

คุณสมบัติทางเคมี เราใส่เกลือ 1 ช้อน เราใส่น้ำปลาเข้าไป 1 ช้อน เท่ากับความเค็ม 2 ช้อน
แต่ถ้าเราต้องการกินความเค็มแค่ช้อนเดียวเพราะร่างกายในแต่ละวันกินความเค็มได้จำกัดแค่วันละช้อน เราจะใช้เกลือร่วมกับน้ำปลา ก็ลดไปอย่างละครึ่งช้อนเผื่อให้ ได้ความเค็ม 1 ช้อน ที่มีเกลือและน้ำปลาผสมรวมกัน หรือผสม2ช้อนแล้วตักมาใช้แค่ช้อนเดียวพอครับ
.

ถ้ามีกะปิ หรือ อื่นๆน้ำปลาล้า มาผสมด้วยก็ต้องลดขนาดลงให้เหลือภายในอัตราส่วนของทุกสิ่งที่เราผสมให้อยู่ใน 1 ช้อนโดยรวมกับส่วนผสมทุกๆอย่างอยู่ใน 1ช้อนนั้นเอง ส่วนจะใส่อันไหนมากกว่าก็ว่ากันไปตามสูตรอยากใส่อะไรมากน้อยก็ตามใจเรา
.

ปุ๋ยใส่กับกล้วยไม้ก็เช่นเดียวกันครับ ถ้าเป็นเคมีเพราะมีสารตั้งต้นที่มีส่วนผสมคล้ายๆกรดเกลืออ่อนๆ ถ้ากรดเกลือแรงเกินกล้วยไม้ก็ทนไม่ไหวครับ เหมือนมะนาวที่กินแต่พอดีอร่อยเปรี้ยวเกินกัดปากกัดกระเพาะและลำใส้เป็นผลร้ายสะงั้นทั้งๆที่มะนาวให้ความอร่อยในบริมาณที่เปรี้ยวพอดีแท้ๆ
.



เอาเป็นว่า จบดีกว่ายาวเกิน จริงต้องแยกย่อยแต่ เขียนสั้นๆคงพอจะเข้าใจ